ด้าน E Environment สิ่งแวดล้อม เราเข้าสู่โหมดโลกเดือดจัด ในซีกโลกหนึ่งความร้อนแห้งแล้งทำลายผลผลิตทางการเกษตร สร้างวิกฤติความไม่มั่นคงทางอาหาร เพิ่มความยากจนหิวโหยไปทั่ว อีกซีกโลกหนึ่งหนาวเย็นสุดขั้ว วิปริตผิดเพี้ยน El Nino ที่คาดว่าจะเปลี่ยนเป็น La Nina อยู่ดี ๆ ก็ไม่ยอมเปลี่ยน กระแสน้ำอุ่นสร้างภาวะเป็นกลาง สัตว์ทะเลที่ว่ายตามกระแสน้ำ หลงเข้าไปในน่านน้ำที่ไม่เคยไป ทำให้ระบบนิเวศใต้ทะเลปั่นป่วนแบบไม่เคยเจอมาก่อน ในอากาศก็เต็มไปด้วยคาร์บอนที่หนาแน่นขึ้น เพิ่มความระอุเข้าไปในภาวะเรือนกระจก จนบางครั้งรู้สึกร้อนแบบหายใจไม่ออก อากาศก็เต็มไปด้วยฝุ่นควัน PM2.5 ทำลายสุขภาพ มลพิษอยู่ทั้งบนอากาศ ในพื้นดิน ใต้น้ำ และทุกที่รอบตัวเรา

ด้าน S Social สังคม เราเห็นความแตกแยกเพิ่มมากขึ้น ทั้งความขัดแย้งทางศาสนา เชื้อชาติ เพศ วัย และวัฒนธรรม ทั้ง ๆ ที่เราส่งเสริมความหลากหลาย และเท่าเทียม แต่ที่จริงแล้วเรายิ่งสร้างปัญหามากขึ้น ช่องว่างระหว่างกลุ่มคนรวย ที่นับวันจะรวยขึ้นอย่างรวดเร็ว และเหล่าคนยากจน ไม่มีกินก็มีจำนวนมากขึ้นทวีคูณ ช่องว่างนี้ห่างขึ้นจนเป็นวิกฤติความเหลื่อมล้ำ ก่อให้เกิดความแตกแยก และมีความรุนแรงทั่วโลก

ด้าน G Governance ธรรมาภิบาล เราเจอปัญหาสินบน และคอร์รัปชันในรูปแบบใหม่ ๆ ทั่วโลก ตามด้วยผู้นำประเทศมหาอำนาจ ไม่สนใจข้อตกลงระหว่างประเทศ เอาตัวเองเป็นใหญ่ เปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เปลี่ยนระบบการค้าโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในประวัติศาสตร์ ความผันผวนของเศรษฐกิจนี้เอง เร่งกดดันความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ศาสนา และกระตุ้นการแย่งชิงทรัพยากรที่มีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะมีแหล่งพลังงาน และแหล่งแร่ธาตุที่หายาก Rare Earth ผู้นำโลกเปิดศึกชิงความได้เปรียบ

ทั้งหมดนี้ได้จุดชนวนสงครามที่คุกรุ่นอยู่แล้วทั่วโลกให้โหมกระพือขึ้นเรื่อย ๆ จากสงครามยูเครน ตามมาด้วยฉนวนกาซา สงครามครั้งใหญ่ระหว่างอิหร่าน อิสราเอล ความขัดแย้งในจีน ไต้หวัน เกาหลี และอีกหลายพื้นที่ในเอเชีย

รอบ ๆ บ้านเราเองก็ไม่ต่างจากเวทีโลก ความไม่สงบตามชายแดนภาคใต้ที่ยังคง คุกรุ่น ความไม่ปลอดภัยใหม่ ๆ ตามชายแดนเมียนมา และลาว รวมทั้งวิกฤติใหม่ที่ทำลายความศรัทธาของคนไทยทั้งชาติจาก คลิปเสียงหลุดอาหลาน ซึ่งเกมนี้ผู้นำประเทศทั้งสอง และญาติผู้ใหญ่ต่างออกมาแสดงบทบาทสำคัญในการกระพือความรุนแรง กระตุ้นกระแสชาตินิยม จนอาจจะบานปลายสู่สิ่งที่คาดไม่ถึง

คำว่า “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ที่เราคุยกันมาตั้งแต่ก่อนปี 2000 กำลังจะเกิดขึ้นจริง

ตาสีตาสาอย่างเรา เมื่อรู้ว่าครึ่งปีหลังจะเจอมรสุมความไม่ยั่งยืน ที่โหมกระหน่ำมาอย่างไม่สามารถคาดเดาได้ เหมือนนั่งเครื่องบินเข้าไปในพายุ ที่จะโดนฟ้าผ่า หรือตกหลุมอากาศขนาดใหญ่ได้ทุกเมื่อ … เราควรจะเตรียมตัวอย่างไร

1.อย่าโลกสวย และต้องยอมรับความจริง ว่าเราจะเจอวิกฤติยาวนาน ต้องปรับ Mindset สู่โหมดวิกฤติ ต้องติดตามข่าวสารของสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด มีแผน และแผนสำรองสำหรับทุกเหตุการณ์ที่กำลังจะมา

2.เตรียมความพร้อมของตัวเอง ครอบครัว และกิจการ พึ่งพาตัวเองให้ได้ เตรียมอาหาร น้ำ และสิ่งจำเป็นสำรองไว้ ฝึกทักษะการเอาตัวรอดให้ได้แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

3.ต้องประหยัด เตรียมทรัพยากรสำรองไว้ในยามฉุกเฉิน ช่วงนี้อะไรไม่จำเป็นก็ไว้ก่อน ใช้ของหมุนเวียนให้คุ้มค่า

4.ต้องเตรียมหาพันธมิตร รวมตัวเป็นเครือข่าย เป็นสหกรณ์ เพื่อแบ่งปันทรัพยากรกัน ใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่า เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ ความร่วมมือกัน SDG 17 Partnership for the Goals จะสำคัญมาก

5.ถึงเวลากลับมาทบทวน “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” หลักคิด หลักปฏิบัตินี้ เคยช่วยให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มาแล้วหลายครั้ง แต่ต้องนำมาประยุกต์ใช้ นำมาพัฒนาให้เหมาะสมกับยุคสมัย และวิกฤติใหญ่ในครั้งนี้

“พอเพียง” จะเป็น “เกราะคุ้มกันภัย” ให้เราพ้นพายุความไม่ยั่งยืน SDG ที่จะโหมกระหน่ำมาทั้งมิติ E S และ G ในช่วงครึ่งปีหลัง และอาจจะยาวนานไปอีกหลายปี อย่างปลอดภัย.