เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาเมือง ภายหลังเดินทางเยือนกรุงโคเปนเฮเกน ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ว่า การเดินทางไปครั้งนี้ไปตามคำเชิญของสถานทูตฯ สิ่งที่ได้ไปศึกษาเรียนรู้เน้นหนักเรื่องคุณภาพชีวิตและการจัดการขยะ เนื่องด้วยเมืองนี้เป็นเมืองน่าอยู่อันดับ 1 ของโลก มีการพัฒนามาเป็นระยะเวลา 40 ปี จากเมืองที่เน่า สกปรกเป็นเมืองที่สะอาด สำหรับสิ่งที่สามารถนำมาต่อยอดและพัฒนาในมหานครได้นั้น อาทิ การคัดแยกขยะ การบำบัดน้ำเสีย การพัฒนานโยบายสีเขียวระดับประเทศ การทำรัฐบาลดิจิทัล
“ก็ไปดูความเป็นเมืองน่าอยู่ เพราะเป็นเมืองอันดับ 1 ของโลก สุดท้ายที่เมืองพัฒนามาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็มาจากการเรื่องเท่าเทียมกัน การดูแลสวัสดิการ การศึกษา สาธารณสุข เห็นว่ามีความเท่าเทียมกันหลังจากนี้จะมาพัฒนาต่อ”
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องเมืองสีเขียวนั้น ที่เดนมาร์ก มีองค์กรที่พัฒนานโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นการรวมหลายหน่วยงานเข้าด้วยกัน มีเอกชนและภาครัฐร่วมกันพัฒนา ซึ่งการดำเนินงานในลักษณะนี้ เป็นสิ่งที่เราจะนำมาปรับใช้ในการสร้างเมืองสิ่งแวดล้อมดี โดยจะต้องตั้งเป้าหมายกรุงเทพฯ เรื่องเมืองสีเขียวให้ชัดเจน เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันทุกหน่วยงาน โดยจะมีหน่วยงานกลางแบบในลักษณะนี้เป็นตัวประสานงาน
นอกจากนั้น เรื่องของการบำบัดน้ำเสีย กรุงโคเปนเฮเกน มีระบบการบำบัดน้ำเสียที่ดีและทำมา 40 ปีแล้ว ส่วนเรื่องการกำจัดขยะนั้น มีโรงกำจัดขยะอยู่ในเมือง ซึ่งเป็นตัวอย่างในการอยู่ร่วมกันระหว่างโรงเผาขยะกับชุมชนและทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ มีการนำขยะมาเผาเพื่อเป็นพลังงาน ทั้งนี้จากรายงานทราบว่ามีการคัดแยกขยะจนขยะไม่เพียงพอในการเผา ต้องนำเข้าขยะจากอังกฤษ ซึ่งก็ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่โรงเผาขยะสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้
อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจและคาดว่าจะนำมาปรับใช้ได้ คือรื่องการทำรัฐบาลดิจิทัล ก็อยากจะนำมาทำโครงการเล็กๆ ร่วมกันในโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม: ลดขยะลดค่าธรรมเนียม” โครงการที่ต้องมีการลงทะเบียนคนแยกขยะ เพื่อที่จะได้พัฒนาเป็นดิจิทัลได้ในอนาคต
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวเพิ่มว่า อีกเรื่องที่ไปศึกษามา แล้วพบว่าสามารถนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของเมืองกรุงได้ นั่นคือการสนับสนุนให้คนใช้จักรยานในการเดินทาง โดยเดนมาร์กเป็นเมืองที่มีคนปั่นจักรยานเยอะถึง 29% ใช้รถยนต์แค่ 34% ปั่นจักรยานกันทั่วเมือง ภายหลังกลับมา ได้ไปดูพื้นที่บริเวณเลียบด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ว่าจะสามารถทำเส้นทางจักรยานเหมือนที่เดนมาร์กได้หรือไม่ จากที่สำรวจจุดเริ่มต้นตั้งแต่วัชรพลถึงพระราม 9 ขณะนี้เส้นทางเดิมมีอยู่แล้ว แต่บางจุดอาจจะข้ามลำบากพบมี 3 จุด คือ ลาดพร้าว ถนนเกษตรนวมินทร์ และรามอินทรา
สำหรับเรื่องเส้นทางจักรยานเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะทำให้ลดปริมาณการใช้รถยนต์ลง ทำให้คนมีทางเลือกในการเดินทาง แต่ด้วยบริบทของเมืองเรา อาจจะไม่ได้ทำเหมือนที่เดนมาร์กทั้งหมด ที่ประชาชนปั่นมาทำงาน แต่ของเราอาจจะเป็นกิโลเมตรสุดท้ายที่เชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งสาธารณะ เพราะสภาวะในเมืองเราอาจไม่เหมาะกับการขี่ในระยะยาว.