เมื่อเวลา 08.55 น. วันที่ 24 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีมีนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชามาเที่ยวที่ปราสาทตาเมือนธมอย่างมีนัยสำคัญ สถานที่ดังกล่าวไม่สามารถที่จะปิดเองได้ต้องรอคำสั่งจากหน่วยงานใช่หรือไม่ ว่า อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ส่วนรัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมส่วนต่างๆ อยู่แล้ว เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น รัฐบาลรับรู้ทั้งหมด และก่อนหน้านี้ สมช. ได้มอบอำนาจให้กองทัพบก โดยให้ทหารซึ่งเป็นด่านหน้าได้พิจารณาสถานการณ์ว่ามากน้อยหรือรุนแรงมากแค่ไหน โดยขณะนี้ยังใช้มตินี้อยู่
เมื่อถามว่า บริเวณประสาทตาเมือนธมให้อำนาจทหารที่อยู่ในพื้นที่เป็นคนตัดสินใจให้ปิด หรืออนุญาตให้ท่องเที่ยวใช่หรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามปกติ ยังไม่มีการห้ามหรือไม่ห้าม ตรงปราสาทตาเมือนธมที่ผ่านมาสามารถขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย ดังนั้นขณะนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นแต่มีคำสั่ง ซึ่งเป็นเรื่องของแม่ทัพภาคที่ 1 แม่ทัพภาคที่ 2 และกองกำลังจันทบุรี เป็นผู้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติจะต้องมีการหารือร่วมกันอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่ว่าจะเกิดการเผชิญหน้ากัน เพราะมีทั้งชาวกัมพูชาและคนไทยที่ขึ้นไปท่องเที่ยว นายภูมิธรรม กล่าวว่า เชื่อว่าทางทหารจะสามารถประสานงานได้ นักท่องเที่ยวขึ้นมาตามปกติ และเมื่อถึงเวลาก็ลงตามปกติ ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดอยู่ที่แม่ทัพภาคที่ 2 จะพิจารณาตามความเป็นจริง
เมื่อถามย้ำว่า เป็นหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ตัดสินใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า คงพิจารณาแล้วนำหารือกับกองทัพบก รัฐบาล สมช. ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการ อำนาจอยู่ตรงนี้ให้กองทัพภาคที่ 2 ไปดู แล้วทำเลยก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติเราได้บอกและกำกับวิธีการทำงานไปแล้ว ซึ่งไม่มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้รับรายงานหลังจากที่ไทยยกระดับมาตรการขึ้นมาอีกระดับหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า หากดูจากบรรยากาศในพื้นที่ประชาชนในชายแดนก็เครียดจนน่ากังวลใจ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการ ซึ่งเราจะดำเนินการทำหลุมหลบภัยให้กับพี่น้องประชาชน โดยให้กระทรวงมหาดไทยไปดูเรื่องความแข็งแรงมากขึ้น
เมื่อถามว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไทยต้องยกระดับมาตรการเพิ่มขึ้น เพราะทหารกัมพูชาเติมกำลังคนและเติมพลังอาวุธเข้าไปในพื้นที่ มองว่ามีนัยอะไรหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ที่ทหารกัมพูชามีอยู่นั้นไม่ต้องเติมเพราะมีเยอะอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่สาระที่น่ากลัว เพราะสิ่งที่เขาทำก็เติมเต็มอยู่แล้ว ขณะที่ทางการไทยก็มีการเตรียมกำลังไว้ตั้งแต่มีการเผาศาลาตรีมุข เพราะขณะนั้นกองทัพภาค 2 ต้องไปฝึกกำลังที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ตนจึงได้ปรึกษากับผู้บัญชาการทหารบกให้ฝึกซ้อมในพื้นที่ไม่ต้องเคลื่อนกำลังออกมา และเราก็ได้มีการเสริมกำลังพอสมควรแล้ว ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์จะเห็นว่า เราไม่ได้เติมกำลังอะไร เพราะแค่ที่มีก็เต็มกำลังอยู่แล้ว มีการเตรียมการก่อนที่จะเกิดเหตุดังกล่าวกว่า 6-7 เดือนแล้ว ซึ่งมีกองกำลังอยู่จำนวนเยอะ แต่ไม่ขอบอกตัวเลข
เมื่อถามถึง กรณีกลุ่มนักปั่นจักรยานชาวไทย ขึ้นไปยังพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม โดยไม่ได้แจ้งทางฝ่ายกัมพูชาล่วงหน้า โดยกองทัพกัมพูชาระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายอย่างชัดเจน เหตุใดทางกัมพูชาจึงเข้าใจว่าปราสาทตาเมือนธมเป็นของตัวเอง นายภูมิธรรม กล่าวย้อน ทำไมแปลกใจเหรอ ตนไม่เห็นแปลกใจเลย เพราะเขาอ้างว่าเป็นของเขา เขาก็ต้องคิดแบบนั้นอยู่แล้ว เราก็อ้างของเราถึงได้ทะเลาะกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เขาจะเรียกร้องอยู่แล้ว มันถึงได้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหา เขาเคยขึ้นมาอยู่แล้ว ทุกคนเคยขึ้น ซึ่งข้อตกลง บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา ปี 2543 (MOU 2543) ทุกคนสามารถขึ้นมากราบพระ เมื่อขึ้นมาก็ต้องลงไปเหมือนกันทุกส่วน แต่ขณะนี้เวลาขึ้นมาแล้วมาแสดงสัญลักษณ์ แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งตรงนี้เราได้มีการประท้วง ยืนยันว่า ไม่ให้ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ และที่ผ่านมาเรามีการประท้วงแบบลายลักษณ์อักษรทั้งหมด
เมื่อถามถึง กรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ออกมาระบุว่า นายภูมิธรรม เซ็นรับรองให้ทหารกัมพูชา เข้ามาอยู่ในปราสาทตาเมือนธม ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ครั้งล่าสุด นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ไปเซ็นอะไร ทุกอย่างทำตาม MOU 43 ซึ่งขณะนี้ยังมีขั้นตอนการประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา (RBC) ซึ่งทางกัมพูชารอสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาอนุมัติ พร้อมกับขอนายสมชัยอย่าพูดอะไรบนพื้นฐานที่ไม่ได้อยู่บนข้อเท็จจริง
เมื่อถามถึง กรณีที่ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เสนอให้ไทยเปิดด่านชายแดนก่อน แล้วกัมพูชาจะเปิดตามใน 5 ชั่วโมง และค่อยหารือเรื่องการปรับกำลัง นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรามีเงื่อนไขและข้อเสนอที่วางไว้ คือลดการเผชิญหน้า ตลอดแนวชายแดน ให้มีการปรับกำลังทั้งสองฝ่าย รวมถึงการเปิดด่านชายแดนทั้งหมด เพื่อให้เข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้จะต้องทำไปพร้อมกันทั้ง 2 ประเทศ โดยการกำหนดวัน-เวลา ซึ่งทางฝั่งกัมพูชาบอกว่าอำนาจทุกอย่างอยู่ที่สมเด็จฮุน เซนเพียงคนเดียว ซึ่งก็ยอมรับว่า ได้มีการเสนอเงื่อนไขตามนั้นจริง ซึ่งในส่วนของเรา บอกว่าเป็นไปไม่ได้ จุดยืนของเราต้องดำเนินการคือ ให้มีการปรับกำลังก่อนเปิดด่านพร้อมกัน
“จะมาบอกว่าคุณเปิดก่อน เราเปิดก่อนคงไม่ได้ เพราะตอนนี้มันมั่วไปหมดแล้ว ก็ควรจะทำให้พร้อมกัน” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวว่า การที่ไทยจะทำอะไรนั้น ต้องคำนึงถึงสายตานานาประเทศด้วย เพราะเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า เพื่อป้องกันข้อครหาว่าเรารุกรานเขา ในขณะเดียวกันเราก็ยังยืนอยู่ในการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้น
เมื่อถามว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องไปพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซนเพื่อให้ได้ข้อยุติ ในเรื่องการเปิดด่านพร้อมกันใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว การจะเปิดด่าน เป็นเรื่องของที่ประชุม RBC ส่วนที่กัมพูชาปิดประตูตายจะไม่ประชุมนั้น ตนมองว่า สามารถพูดคุยและเจรจาได้ คำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เมื่อมีปัญหา หรือมีประโยชน์ก็ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องคุย และเชื่อว่า จะสามารถพูดคุยกันได้