วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความจากเพจรามาแชนแนล โดย รศ. นพ.ไชยรัตน์ ทรัพย์สมุทรชัย สาขาวิชาทางเดินอาหารและศัลยศาสตร์ทั่วไป ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มาพูดถึงเรื่อง“เชื้อเอชไพโลไร” ที่เราควรรู้จักก่อนกลายเป็นเหยื่อมะเร็งกระเพาะอาหาร
เชื้อเอชไพโลไร (helicobacter pylori) คือ แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่สามารถอาศัยอยู่ในเยื่อบุของกระเพาะอาหารได้ แม้ในสภาวะที่เป็นกรดจัด แบคทีเรียชนิดนี้สามารถหลบหลีกกรดในกระเพาะได้ด้วยเอนไซม์พิเศษ ทำให้สามารถเจริญเติบโตและอาศัยอยู่ได้นานโดยไม่ถูกทำลาย เชื้อเอชไพโลไรเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง แผลในกระเพาะ และในบางกรณีอาจนำไปสู่มะเร็งกระเพาะอาหารได้
การแพร่กระจายของเชื้อเอชไพโลไร มาจากไหน ? สามารถเกิดได้หลายช่องทาง โดยเฉพาะจาก “คนสู่คน” ผ่านการกินสิ่งที่มีเชื้อโรคจากในกระเพาะของคนที่มีเชื้อโรคเข้าไป เช่น อาเจียน หรืออุจจาระ หากมีสุขอนามัยที่ไม่ดี เช่น การใช้ภาชนะร่วมกันโดยไม่ล้างให้สะอาด การดื่มน้ำที่ไม่สะอาด หรือการไม่ล้างมือหลังเข้าห้องน้ำ ก็มีโอกาสได้รับเชื้อได้สูง ทั้งนี้ “เชื้อเอชไพโลไร” สามารถติดในเด็กและอยู่ในร่างกายได้นานจนโตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่แสดงอาการ จึงยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง

เชื้อเอชไพโลไร ก่อให้เกิดโรคอะไรบ้าง ? เมื่อเชื้อ H. pylori เข้าไปฝังตัวในกระเพาะอาหาร เชื้อจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง แผลในกระเพาะอาหาร และแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกในทางเดินอาหาร ซึ่งอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งยังก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
ความเชื่อมโยงระหว่าง “เชื้อเอชไพโลไร” กับ “มะเร็งกระเพาะอาหาร”
องค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ H. pylori เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อชนิดนี้จะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในเยื่อบุและเปลี่ยนแปลงเซลล์เยื่อบุจนกลายเป็นเซลล์ผิดปกติ หากเป็นเรื้อรังนานหลายปี โอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งก็เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้ามีปัจจัยร่วมอื่น เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง ความเสี่ยงจะยิ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรได้อย่างไร ? ปัจจุบันสามารถตรวจหาเชื้อ H. pylori ได้หลายวิธี เช่น
- การทดสอบลมหายใจ (urea breath test) ซึ่งสะดวกและแม่นยำ
- การตรวจอุจจาระเพื่อหาแอนติเจนของเชื้อ
- การตรวจเลือดเพื่อดูแอนติบอดี
- การส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจโดยตรง
วิธีใดเหมาะสมที่สุดขึ้นอยู่กับอาการ ความรุนแรง และคำแนะนำของแพทย์ การตรวจพบเชื้อได้เร็วมีส่วนสำคัญในการรักษาและป้องกันโรคแทรกซ้อนในระยะยาว
วิธีรักษา การรักษา H. pylori ต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกันอย่างน้อย 2 ชนิด ควบคู่กับยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อช่วยให้สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อ ระยะเวลาการรักษามักใช้ประมาณ 10-14 วัน หากรักษาไม่ครบ หรือเชื้อดื้อยา อาจต้องเปลี่ยนสูตรการรักษาใหม่ ในบางกรณีแพทย์อาจนัดตรวจซ้ำหลังรักษาเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดแล้ว และไม่เสี่ยงกลับมาเป็นอีก

ปรับพฤติกรรม ลดเสี่ยงติดเชื้อเอชไพโลไร
การป้องกันการติดเชื้อ H. pylori ทำได้โดยเริ่มจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น
- ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะร่วมกับผู้อื่นโดยไม่ล้าง
- บริโภคน้ำและอาหารที่ปรุงสุกใหม่
- ดูแลสุขอนามัยในครัวเรือน
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่หมักดองหรือเผ็ดจัดบ่อย ๆ ก็ช่วยลดการระคายเคืองกระเพาะได้เช่นกัน

ใครบ้างที่ควรตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร เป็นพิเศษ ?
กลุ่มที่ควรตรวจหาเชื้อ H. pylori ได้แก่
- ผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง แสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ อาเจียน หรือจุกแน่นบ่อย ๆ
- ผู้ที่เคยเป็นแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีประวัติมะเร็งกระเพาะในครอบครัว
- ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไปที่มีอาการผิดปกติทางระบบทางเดินอาหาร
การตรวจแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคร้ายและวางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เชื้อเอชไพโลไร” แม้จะเป็นแบคทีเรียเล็ก ๆ แต่มีอิทธิพลต่อสุขภาพกระเพาะอาหารของเรามากกว่าที่คิด หากละเลย อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่างมะเร็งกระเพาะอาหารได้ การใส่ใจพฤติกรรมสุขอนามัย การสังเกตอาการผิดปกติ และการเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยให้คุณป้องกันและดูแลสุขภาพทางเดินอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น