นอกจากกระบวนการตรวจสอบทางกฎหมายผ่านทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) กรณีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งแต่ละส่วนจะมีบทสรุปอย่างไร จะกลายเป็นปมร้อนทำให้หัวหน้ารัฐบาลมีปัญหา ขณะเดียวกันกระบวนการตรวจสอบในสภา ก็มีแนวโน้มจะเดินหน้า หลัง “พรรคภูมิใจไทย (ภท.)” ซึ่งเพิ่งพ้นสถานะการเป็นรัฐบาลมาทำหน้าที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน เริ่มทำหน้าที่ตามภารกิจในสภา โดย “น.ส.บุณย์ธิดา สมชัย” โฆษกพรรค ภท. แถลงภายหลังการประชุมว่า พรรคมีมติเตรียมยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ตาม รธน.มาตรา 151 หลังเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 ก.ค.นี้ ทั้งนี้พรรค ภท.ได้เชิญชวนพรรคร่วมฝ่ายค้าน อาทิ พรรคประชาชน (ปชน.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคเป็นธรรม (ปธ.) และพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ร่วมลงชื่อยื่นญัตติดังกล่าวเพื่อร่วมกันตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ตามรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 151 กำหนดให้ใช้เสียง สส. จำนวน 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้คือ จำนวน 99 คน จาก 495 คน ซึ่งหากรายชื่อครบ และถ้าประธานสภาบรรจุระเบียบวาระ จะทำให้ไม่สามารถยุบสภาจนกว่าจะถอนญัตติ หรือลงมติจนแล้วเสร็จ

ด้าน “นายพริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชนในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอพรรค ภท.ประกาศจะยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ต้องขอบคุณพรรคร่วมฝ่ายค้านน้องใหม่อย่างพรรค ภท. ที่ใช้วิธีการเชิญชวนพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นผ่านสื่อมวลชน ตามที่พรรค ภท.มีข้อเสนอขึ้นมา ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ต้องบอกว่า มาตรา 151 เป็นอาวุธที่ทรงพลังและเป็นอาวุธที่ต้องใช้อย่างแม่นยำ เป็นกลไกที่ใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อปีสมัยประชุม เราก็ไม่อยากให้การใช้อาวุธนี้เสียของ

เพราะหากเลือกใช้อาวุธนี้ไปแล้ว ทำให้นายกฯ อาจพ้นจากตำแหน่งด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม จะกลายเป็นว่าเราไม่สามารถใช้อาวุธนี้ได้อีก ในขั้นที่อาจจะมีนายกฯ คนใหม่เข้ามาก็ตาม เมื่อถามถึงกรณีที่พรรค ภท.ระบุ ข้อมูลมีมากเพียงพอแล้วในการที่จะยื่น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ปัจจัยคงไม่ใช่แค่เรื่องของข้อมูล แต่คือเรื่องจังหวะเวลา เพราะเป็นอาวุธที่ใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อปี จึงต้องดูว่าใช้ตอนไหนจะได้ผล ไม่ทำให้เสียของ ย้ำว่า เราพร้อมหารือกับพรรค ภท.และพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นอยู่แล้ว ส่วนข้อมูลที่ ภท.มีก็ต้องนำมากางเพื่อพูดคุยกัน หากเป็นข้อมูลใหม่ก็อาจทำให้ยิ่งชัดเจนขึ้น ว่าทำไมเราจึงไม่ควรไว้วางใจต่อรัฐบาลชุดนี้ แต่ก็จะเป็นคำถามกลับไปเช่นเดียวกันว่า หากมีข้อมูลนี้มาตลอด ที่ผ่านมาทำไมถึงเพิ่งมานำเสนอต่อสังคม

ส่วน “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการ พปชร. กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ได้สั่งการให้ สส.พรรค พปชร.ร่วมลงชื่อกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเพื่อยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ตาม รธน.มาตรา 151 เนื่องจากไม่สามารถที่จะไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในการทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลอีกต่อไปได้ เพราะมีพฤติการณ์ที่จะนำพาให้ประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงส่งผลให้ประเทศไทยอาจเสียเปรียบในการรักษาอธิปไตยในประเด็นคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน เพราะสะท้อนให้เห็นว่าเป็นผู้นำที่มีความอ่อนแอและขาดประสบการณ์การเจรจาระหว่างประเทศ

“พล.อ.ประวิตร เห็นว่าการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ สส. 19 คน ของพรรค พปชร.พร้อมร่วมลงชื่อยื่นขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ในฐานะผู้นำรัฐบาล แม้ว่าการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ยังไม่เรียบร้อย” เลขาธิการพรรค พปชร. กล่าว

ขณะที่ “นายประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะแกนนำพรรค พท. ให้ความเห็นกรณีที่พรรค ภท.เตรียมยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ว่า รัฐบาลเพิ่งปรับ ครม. ถือเป็นการปรับใหญ่ ต้องปล่อยให้รัฐบาลทำงานไปก่อน ถ้ายื่นญัตติอภิปรายเลยมองประเด็นเดียวคือการเมือง พรรค พท. ไม่ได้กังวลการทำงานของรัฐมนตรี แต่ละท่านยึดหลักกฎหมายความถูกต้องอยู่แล้ว เมื่อถามต่อว่า พรรค ภท.บอกว่าพรรค พท.ดูแลกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ดีเท่ากับตอนที่พรรค ภท.บริหาร นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่จริง ตอนนี้เริ่มมีผู้ร้องว่าในสมัยนั้น (สมัยพรรค ภท.) มีการกระทำที่ไม่ชอบมาพากลหลายเรื่อง จึงอยากให้รัฐบาลเข้าไปตรวจสอบ เป็นเรื่องการใช้งบประมาณ โดยตนได้รับมอบหมายให้ดูแลกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างเรื่องของระบบคอมพิวเตอร์ โดยเป็นวงเงินที่สูงกว่าปกติโดยระบุว่า มูลค่าความเสียหายเป็นหมื่นล้าน ส่วนกระทรวงมหาดไทยมีคนมาร้องหรือไม่ เป็นเรื่องของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ เป็นผู้กำกับดูแล ถ้าทำถูกต้องแล้วก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าทำไม่ถูกต้องก็พร้อมตรวจสอบ

ดูท่าทีพรรค ปชน.ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน ไม่ตอบรับข้อเสนอของพรรค ภท. ในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่พรรค พปชร. พร้อมนำ สส. 19 คน รวมลงชื่อเพื่อเดินหน้าในการร่วมซักฟอกฝ่ายบริหาร ส่วนพรรค พท. ก็เตรียมที่จะตรวจสอบโครงการในอดีตสมัยที่พรรคสีน้ำเงินทำหน้าฝ่ายบริหาร แต่พรรค พปชร.พร้อมรวมลงชื่อในการร่วมดูกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ และอาจรวมถึงกระทรวงมหาดไทย นั่นหมายความแกนนำพรรครัฐบาลจะไม่อยู่เฉยๆ แน่

ที่น่าสนใจสำนักงานเลขาธิการสภา มีการจัดกลุ่มพรรคการเมืองในสภา ชุดที่ 26 จำนวน 16 พรรคการเมือง อัปเดตวันที่ 24 มิ.ย. 68 โดยฝ่ายรัฐบาลมี 11 พรรค รวม 256 เสียง ประกอบด้วย 1.เพื่อไทย 142 เสียง 2.รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง 3.กล้าธรรม 26 เสียง 4.ประชาธิปัตย์ 25 เสียง 5.ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง 6.ประชาชาติ 9 เสียง 7.ชาติพัฒนา 3 เสียง 8.ไทรวมพลัง 2 เสียง 9.เสรีรวมไทย 1 เสียง 10.ประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง และ 11.ไทยก้าวหน้า 1 เสียง

ขณะที่ พรรคการเมืองฝ่ายค้านมี 5 พรรค มี 239 เสียง ประกอบด้วย 1.ประชาชน 143 เสียง 2.ภูมิใจไทย 69 เสียง 3.พลังพลังประชารัฐ 20 เสียง 4.ไทยสร้างไทย 6 เสียง และ 5.เป็นธรรม 1 เสียง

แต่บางพรรค สส.บางคนอาจจะมีชื่ออยู่ในพรรค แต่การออกเสียงอาจไปอีกทางตามแรงผลักดันทางการเมือง หรือผลประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะการได้อยู่ในฝ่ายบริหาร

ในที่สุดรัฐบาลก็ไม่กล้าเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิง (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) สั่งชะลอออกไปก่อน โดย “นางมนพร เจริญศรี” รมช.คมนาคม ออกมาแจกแจงเรื่องนี้ว่า กรณีที่จะมีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญในวันที่ 3 ก.ค.นี้ รัฐบาลรับฟังเสียงจากประชาชน เรื่องความไม่เข้าใจของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งได้มีการสื่อสารว่ามีเรื่องกาสิโนเพียงแค่ร้อยละ 10 แต่คงต้องใช้เวลาอีก ส่วนความเห็นของฝั่งรัฐบาล ก็ได้สื่อสารไปยังนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ว่าเห็นควรที่จะเลื่อน พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ออกไปก่อน โดยจะเลื่อนร่าง พ.ร.บ.สังคมสันติสุข และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้ามาเป็นเรื่องแรก เมื่อถามว่า จะมีปัญหาอะไรหรือไม่ เพราะขณะนี้เสียงของฝ่ายค้านกับรัฐบาลถือว่าใกล้เคียงกัน นางมนพร กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าหาก สส.รู้จักการทำหน้าที่ของตัวเอง เข้าร่วมประชุมทุกครั้ง จะผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อถามถึง กรณีที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ  หัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา เรียกร้องให้รัฐบาลถอดถอนร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ออกไปก่อนนั้น นางมนพร กล่าวว่า ไม่ต้องให้ทางฝ่ายค้านแจ้ง รัฐบาลมีการทบทวนและฟังเสียงประชาชนอยู่แล้ว เมื่อถามว่า การทบทวนหมายถึงการทบทวนเรื่องลำดับแต่ไม่ได้มีการถอนออกใช่หรือไม่ นางมนพร กล่าวว่า กฎหมายถูกบรรจุในระเบียบวาระ เราต้องรับฟังเสียงรอบด้าน และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของสมาชิกในสภาเช่นกัน ฉะนั้นต้องฟังเสียงของสมาชิกด้วยว่าจะถอนออกหรือไม่ หรือจะเลื่อนไปเมื่อไหร่

ด้าน “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” ประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่จะเข้าพิจารณาในสภา เข้าวาระแรก 9 ก.ค.นี้ ว่า ตอนปิดสมัยประชุมได้บอกรัฐบาลไปแล้วว่า คนที่เกี่ยวข้องต้องไปชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ กระแสสังคมต้องสิ้นการสงสัยว่าทำเพื่ออะไร แต่ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลยุ่งกับเรื่องกระทรวงมหาดไทย เรื่องกัมพูชา ก็ไม่ได้โปรโมตและแนะนำออกสื่อชี้แจงหรือเสวนาถกเถียงกันให้จบ ซึ่งวิปรัฐบาลไม่มีปัญหาหากกระแสสังคมไปได้ เพราะวางไทม์ไลน์เดือน มิ.ย.ทั้งเดือนน่าจะพูดเรื่องนี้เยอะในทุกสื่อ ปรากฏไม่มีเวลาไปทำตรงนั้น ตนเองก็เลยเสนอผู้ใหญ่ในพรรคว่าต้องเลื่อนออกไปจนกว่าจะชี้แจงประชาชนให้เข้าใจและรับฟังปัญหาที่ประชาชนห่วงใย

ก่อนหน้านี้ ร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ถือเป็นเรือธงของรัฐบาลพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ แม้จะถูกคัดค้านจากหลายภาคส่วนในสังคมเพราะกำหนดให้มีกาสิโนอยู่ 10% ของพื้นที่ แต่เหมือนไม่ให้ความสำคัญกับกระแสคัดค้าน แต่พอพรรค ภท.ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล พรรค พท.เลยต้องถอนเรื่องดังกล่าวออกจากวาระการประชุม เพราะไม่อยากให้รัฐบาลตกเป็นเป้าในการโจมตี หลังเผชิญวิบากกรรมจากคลิปลับสมเด็จฮุน เซน

ทีมข่าวการเมือง