เห็นภาพประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา คงต้องบอกว่า นับถอยหลังรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากนี้ไปนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ต้องเผชิญแรงกดดันทั้งในและนอกสภา เชื่อว่า จากนี้ไปกลุ่มมวลชนที่เรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หลังปรากฏคลิปการสนทนากับ “สมเด็จฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา จากนี้ต่อไปคงมีการทำกิจกรรมเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มแรงกดดัน และจะส่งผลต่อการตัดสินใจของพรรคร่วมรัฐบาล จะเดินหน้าอุ้มหัวหน้ารัฐบาลอีกต่อไป หรือแม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเก้าอี้รัฐมนตรีในส่วนของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ถอนตัวออกไป นำมาแจกจ่ายให้บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเป็นการซื้อใจ ส่วนในสภาคงต้องรอดูพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน จะตัดสินใจอย่างไร หลังพรรค ภท. และ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รวมลงชื่อ เพื่อขอยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ ตาม รธน.มาตรา 151 หลังเปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 3 ก.ค. 68

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ตามรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 151 กำหนดให้ใช้เสียง สส. จำนวน 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้คือ จำนวน 99 คน จาก 495 คน ซึ่งหากรายชื่อครบ และถ้าประธานสภาบรรจุระเบียบวาระ จะทำให้ไม่สามารถยุบสภาได้จนกว่าจะถอนญัตติ หรือลงมติจนแล้วเสร็จ ซึ่งเสียงของพรรค ภท. 69 เสียง และ พรรค พปชร. 19 เสียง รวม 88 เสียง ซึ่งขาดอีกเพียง 11 เสียง แต่พรรค ปชน.ต้องการให้นายกฯ ยุบสภา ดังนั้นอาจไม่เห็นด้วยกับท่าทีดังกล่าว และอาจไม่พอใจที่พรรค ภท. ช่วงชิงบทบาทการทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน ดังนั้นต้องวัดใจพรรค ปชน. จะตัดสินใจอย่างไร
ส่วนอีกประเด็นที่เป็นปมร้อน และเกี่ยวข้องกับสถานะหัวหน้ารัฐบาล คือวันที่ 1 ก.ค. 68 จะเป็นวันสำคัญชี้ชะตา “นายกฯ แพทองธาร” เพราะตุลาการศาล รธน. จะพิจารณาว่าจะรับคำร้อง “ถอดถอนนายกฯ” ไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ หลังสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 36 คน ที่ยื่นคำร้องอ้างอิง มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ของ รธน. โดยให้เหตุผลว่า คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกฯ ไทย กับ ผู้นำกัมพูชา มีเนื้อหาเกี่ยวพันกับการสั่งการระดับกองทัพ หรือการใช้ตำแหน่งแทรกแซงกลไกความมั่นคง ซึ่งอาจเข้าข่าย “ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง” หากศาล รธน.มีมติรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ยังอาจมี “คำสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่” ตามคำขอของผู้ร้อง จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยขั้นสุดท้ายในคดีนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นยิ่งจะเพิ่มแรงกดกับฝ่ายรัฐบาลขึ้นไปอีก

แม้พรรคเพื่อไทย (พท.) จะแก้เกมโดยปรับ ครม.ครั้งนี้ จะนั่งควบเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรม เนื่องจากมีการโยก นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม ไปดำรงตำแหน่ง รมว.การอุดมศึกษาฯ อย่างไรก็ตาม การที่ น.ส.แพทองธาร มาดำรงตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม เนื่องจากมีการประเมินว่า อาจถูกสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ในตำแหน่งนายกฯ จึงต้องมีตำแหน่งรัฐมนตรีอะไรก็ได้ควบอีกหนึ่งตำแหน่ง เพื่อจะได้มานั่งทำงานใน ครม. โดยใช้โมเดล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม โดย พล.อ.ประยุทธ์ โดนศาล รธน.สั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ภายหลังมีคำร้องให้ศาล รธน.วินิจฉัยดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีตาม รธน.แล้วหรือไม่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ สามารถร่วมประชุม ครม.ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้แม้จะโดนสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่ตอกย้ำความยอมรับในการทำงานของนายกฯ คนที่ 31 โดยศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 2-2568” สำรวจระหว่างวันที่ 19-25 มิ.ย. 68 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,500 หน่วยตัวอย่าง เมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 31.48 ระบุว่าเป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ที่กล้าแสดงออก มีแนวคิดที่ชัดเจนและทันสมัย อีกทั้งยังแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา อันดับ 2 ร้อยละ 19.88 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 12.72 ระบุว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเป็นบุคคลที่พูดจริงทำจริง ตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ
อันดับ 4 ร้อยละ 9.64 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะมีความกล้าตัดสินใจ และมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศ อันดับ 5 ร้อยละ 9.20 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะมีความตั้งใจในการทำงาน แม้จะมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ และต้องการเปิดโอกาสให้ได้แสดงศักยภาพในการบริหารประเทศ

เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 46.08 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชน อันดับ 2 ร้อยละ 13.24 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 3 ร้อยละ 11.52 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 4 ร้อยละ 9.76 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 5 ร้อยละ 7.72 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 6 ร้อยละ 4.20 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย อันดับ 7 ร้อยละ 2.88 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ อันดับ 8 ร้อยละ 2.68 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 1.76 ระบุอื่นๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนา พรรคกล้าธรรม พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยภักดี และพรรคเพื่อไทยรวมพลัง และร้อยละ 0.16 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ต้องบอกว่าคะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ร่วงหล่นอย่างน่าใจหาย ตกไปอยู่อันดับ 5 รวมถึงการยอมรับของประชาชนที่มีต่อพรรคพท. ก็หล่นวูบ ตามหลังแม้กระทั่ง พรรค รทสช. เท่ากับการบริหารงานที่ผ่านมาล้มเหลวทุกด้าน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และที่ร้ายแรงสุดคือ ปมคลิปลับ “สมเด็จฮุน เซน”

ด้าน “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงผลนิด้าโพล ซึ่งประชาชนไว้ใจนายณัฐพงษ์เป็นอันดับหนึ่งให้เป็นนายกฯ ว่า ต้องขอบคุณประชาชนทุกคน ที่มอบความไว้วางใจให้กับตนและพรรค ปชน. จะเห็นว่าคะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ตกลงมาก เกิดจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน และยังมีคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นต่อแคนดิเดตนายกฯ ท่านอื่น เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ผลโพลที่เราเห็นอาจจะนิยมตัวนายกฯ ที่มาจากฝั่งทหารมาก ที่เราค่อนข้างมีข้อกังวลว่า ความล้มเหลวของ น.ส.แพทองธาร อาจจะนำไปสู่การเมืองที่พวกเราไม่อยากเห็น คือการใช้อำนาจนอกระบบ หรือนายกฯ ที่มาจากทหาร
นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึง ครม. รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 1/2 ว่า สภาพการตั้งรัฐบาลแบบนี้ที่เป็นเสียงปริ่มน้ำ เราจะเห็นแต่ละพรรคร่วมรัฐบาล ออกมาส่งข้อเรียกร้อง ส่งคำขู่ตลอด เช่น การถอนตัวออกจากพรรคร่วมฯ บ้าง อะไรบ้าง คงจะเห็นสถานการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ แทบจะทุกครั้งที่มีการโหวตกฎหมายในสภาเลยด้วยซ้ำ พรรค ปชน.จึงเรียกร้องให้ยุบสภา เพราะหากรัฐบาลยังเป็นแบบนี้ ไม่น่าจะแก้ไขปัญหาอะไรให้กับประชาชนได้

ส่วน “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงผลสำสำรวจ “นิด้าโพล” พบ คะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ตกมาอยู่ในลำดับที่ 5 ว่ากระแสความนิยมในช่วงนี้อาจจะมีสวิงบ้าง จากกรณีคลิปเสียงนายกฯ พูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งประชาชนในต่างจังหวัดเข้าใจแล้วว่าทำไมนายกฯ ถึงพูดแบบนั้น เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่คนกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งอาจไม่เข้าใจประเด็นนี้ ซึ่งจริงๆ ดูประชาชนในต่างจังหวัด ในไลน์พรรคก็มีแต่คนให้กำลังใจนายกฯ โพลที่ออกมาอาจเฉพาะกลุ่ม ซึ่งไม่ทราบวิธีการสำรวจ แต่จากการถามประชาชนในต่างจังหวัดก็ยังเข้าใจ แต่มีคนพยายามไม่เข้าใจจำนวนมาก ต้องมองดีๆ ว่าคนที่ติดอยู่ในกัมพูชาถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้นจะถูกทำร้ายหรือไม่ ต้องนึกถึงพี่น้องที่อยู่ในต่างประเทศด้วย ต้องมองหลายๆ มุม สส.พรรค พท.ที่ลงพื้นที่ก็ได้ทำความเข้าใจชี้แจงกับประชาชน คนก็ให้กำลังใจเพียบ ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่า ผลสำรวจพบว่าดัชนีการเมืองไทยต่ำสุดในรอบ 18 เดือน และแนะให้รัฐบาลเร่งสร้างผลงาน นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ครม. ชุดใหม่ต้องทำงานเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชน สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักชาติ ความสามัคคี ไม่ใช่มาตีกันเองแล้วตกเป็นเหยื่อของสมเด็จฮุน เซน เป็นหน้าที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องทำงาน ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องอันดับหนึ่ง การเมืองค่อยตามมา ส่วนเรื่องอื่นถือเป็นเรื่องเล็ก ถ้าเศรษฐกิจดีพี่น้องกินอิ่มนอนสุข เขาก็มีความสุข หน้าที่ผู้แทนมีอย่างเดียวคือห่วงประชาชนที่ลำบาก ไม่ว่าสีไหนก็ไม่ใช่ศัตรูของเรา ศัตรูของพวกเราอย่างเดียวคือ ความยากจนของประชาชน
“ทีมข่าวการเมือง”