ผูัสื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมาน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวานิชย์ รมช.มหาดไทย รรท.รมว.มหาดไทย เป็นประธานปาฐกถาในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 ด้านทะเบียนราษฎรและสถิติชีพในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (The 3rd Ministerial Conference on Civil Registration and Vital Statistic: CRVS) โดยมี คุณอาร์มิดา ซัลเซียะห์ อลิสชาบานา รองเลขาธิการสหประชาชาติและเลขาธิการบริหารคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ผู้แทนจากประเทศในภูมิภาค นายวรณัฎฐ์ หนูรอต รักษาการที่ปรึกษาด้านการปกครอง กระทรวงมหาดไทย นายวิฑูรย์ สิรินุกุล รองอธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วยข้าราชการจากกรมการปกครอง และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UNCC) กรุงเทพมหานคร
น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า รัฐบาลไทยและกระทรวงมหาดไทย ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกระดับอย่างยั่งยืน ซึ่งระบบการทะเบียนราษฎรและสถิติชีพ หรือ CRVS เป็นรากฐานสำคัญเป็นเครื่องยืนยัน “สิทธิในการมีตัวตน” ของประชาชนทุกคน ช่วยสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการสุขภาพและการศึกษา และการพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในชุมชนห่างไกล
“กระทรวงมหาดไทย ได้มุ่งมั่นปรับปรุงระบบ CRVS อย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชื่อที่ว่า “ทุกคนมีคุณค่า และทุกชีวิตต้องได้รับการนับรวม” เพราะการมีอัตลักษณ์ทางกฎหมายคือกุญแจสำคัญในการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและการไม่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเดินหน้าการยุติปัญหาคนไร้รัฐไร้สัญชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์และประชาชนชายแดน โดยประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกในการจัดหาสถานะทางกฎหมายผ่านการจดทะเบียนเกิดและเอกสารสัญชาติ การพัฒนาระบบบัตรประจำตัวประชาชนที่เชื่อมโยงกับระบบทะเบียนราษฎรอย่างสมบูรณ์ผ่านการออกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักให้แก่ทุกคน รวมไปถึงมีการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาและสาธารณสุข ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรับมือกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม” น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่าเพิ่มเติม
โดยวาระสำคัญ คือการเปลี่ยนผ่านระบบ CRVS จากการบันทึกในรูปแบบเอกสารเข้าสู่ระบบดิจิทัลที่มีความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานและมีความปลอดภัยมากขึ้น ตามเป้าประสงค์ของการจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น การเกิด หากได้รับการบันทึกในระบบทะเบียนราษฎร จะได้รับการพิสูจน์สิทธิความเป็นพลเมือง การวางแผนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของการวางแผนพัฒนาพื้นที่ในอนาคต ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล หรือระบบบริการและโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่การบันทึกข้อมูลด้านการตาย จะเป็นข้อมูลการเสียชีวิต หรืออุบัติการณ์ต่าง ๆ เพื่อเป็นสถิติวิเคราะห์การจัดการทางสาธารณสุขของประเทศ ขณะเดียวกันข้อมูลด้านการตาย จะนำไปสู่การดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวิเคราะห์ถึงแนวทางการดูแลความเป็นอยู่ของคนที่เหลือในครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เปราะบาง กลุ่มผู้ยากไร้
คุณอาร์มิดา ซัลเซียะห์ อลิสชาบานา กล่าวว่า “ตัวเลขเหล่านี้เป็นมากกว่าสถิติ พวกเขาเป็นตัวแทนของชีวิตที่ไม่มีสถานะทางกฎหมายและครอบครัวที่ขาดการสนับสนุน” และเสริมว่า “สัปดาห์นี้เป็นเสียงเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างแข็งขัน เราได้เห็นตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจจากประเทศต่างๆ ที่เข้าถึงกลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้งมากที่สุด นำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ และเสริมสร้างกรอบกฎหมายและสถาบัน” จากข้อมูลของ UNHCR มีการประมาณการณ์ว่ามีผู้คนอย่างน้อย 10 ล้านคนทั่วโลกที่เป็นบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ พวกเขาไม่ได้รับการพิจารณาโดยกฎหมายของรัฐใดๆ ว่าเป็นพลเมืองของรัฐนั้นๆ รวมถึงผู้ที่อยู่ในภาวะ “ไร้รัฐโดยพฤตินัย” ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนทางกฎหมายหรือไม่มีการรับรองสัญชาติอย่างเป็นทางการ แม้ว่าตามกฎหมายแล้วอาจจะมีสัญชาติอยู่ก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นเพียงการประมาณการณ์ และคาดการณ์ว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่านี้ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์เอกลักษณ์ตามกฎหมาย หรือการพิสูจน์ความเป็นพลเมืองของรัฐ (legal identity) ไร้สิทธิ ไร้เสียง และขาดโอกาสการเข้าถึงบริการทางสังคม รวมถึงความเป็นอยู่ที่เหมาะสม
ที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนลดลงจาก 135 ล้านคนในปี 2012 เหลือเพียง 51 ล้านคนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการลดลงกว่า 60 % นอกจากนี้ ปัจจุบันมี 29 ประเทศที่สามารถจดทะเบียนการเกิดได้มากกว่า 90 %ภายในหนึ่งปี และ 30 ประเทศก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันในการจดทะเบียนการเสียชีวิต แต่ก็ยังมีเด็กประมาณ 14 ล้านคนทั่วทั้งภูมิภาคที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียนเกิดภายในวันเกิดปีแรก และในแต่ละปี มีการเสียชีวิตประมาณ 6.9 ล้านรายที่ยังไม่ถูกบันทึก ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นนอกสถานพยาบาลหรือในชุมชนห่างไกล โดยปฏิญญาฉบับนี้ได้กำหนด แผนงานยุทธศาสตร์นี้ภายในปี 2030 โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีการเรียกร้องให้มีการส่งมอบบริการที่ครอบคลุมและเข้าถึงได้ บูรณาการความเป็นดิจิทัล เสริมสร้างรากฐานทางกฎหมาย และสร้างระบบข้อมูลที่บูรณาการและทำงานร่วมกันได้ รัฐบาลทั่วทั้งภูมิภาคยังได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะปรับปรุงความเท่าเทียมทางเพศในกระบวนการจดทะเบียน การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัว และการรับรองความต่อเนื่องของบริการ CRVS แม้ในยามวิกฤตความมุ่งมั่นที่ได้รับการต่ออายุนี้เป็นคำมั่นสัญญาในระดับภูมิภาคที่ทรงพลังว่าจะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นการส่งสัญญาณถึงการขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อลดช่องว่างที่เหลืออยู่ สร้างระบบ CRVS ที่ยืดหยุ่นและครอบคลุม และทำให้แน่ใจว่าทุกคน—ไม่ว่าจะเป็นเพศใด สถานที่ใด หรือสถานการณ์ใด—จะได้รับการการคุ้มครอง และไม่ตกหล่นในนโยบายสาธารณะตามสิทธิพลเมือง อย่างไรก็ตามนานาชาติให้คำมั่น พัฒนาระบบ CRVS พิสูจน์สิทธิพลเมืองของรัฐ “ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”