เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ถูกร้องที่ 1 เลขาธิการ กกต. ผู้ถูกร้องที่ 2 จัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภาไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และเอื้อประโยชน์ให้พรรคภูมิใจไทย ผู้ถูกร้องที่ 3 กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ผู้ถูกร้องที่ 4 สมาชิกวุฒิสภารายชื่อปรากฏตามสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ถูกร้องที่ 5 นายเนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกร้องที่ 6 นางกรุณา ชิดชอบ ผู้ถูกร้องที่ 7 นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ กับพวก ผู้ถูกร้องที่ 8 นายศุภชัย โพธิ์สุ ผู้ถูกร้องที่ 9 นางสาววาริน ชิณวงศ์ ผู้ถูกร้องที่ 10 นายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ ผู้ถูกร้องที่ 11 และนายสุบิน ศักดา ผู้ถูกร้องที่ 12 ร่วมกันกระทำการโดยทุจริตในกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และขอให้ศาลวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งหมดเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและสั่งให้เลิกการกระทำดังกล่าว รวมถึงสั่งให้ ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 รัฐมนตรี และ สส. ของพรรคภูมิใจไทย หยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
โดยศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบปรากฏว่าการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1-12 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริตการเลือกสมาชิกวุฒิสภา เป็นการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาและความผิดทางอาญาการกระทำดังกล่าว อยู่ภายใต้การตรวจสอบและการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังพิจารณาคดีที่สมาชิกวุฒิสภา เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) โดยกล่าวอ้างว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ จากกรณีที่ผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย และเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา จึงให้รอความเห็นและเอกสารหลักฐานจากเลขาธิการ กกต. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเรียกไปก่อนหน้านี้.