กรณีกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้เข้าตรวจสอบ วัดม่วง เพื่อสืบหาที่มาของเงิน 10 ล้านบาท และทองคำน้ำหนัก 250 บาท ที่หายไปจากกุฏิของ พระราชวัชรพัฒนาทร เจ้าอาวาสวัดม่วง อย่างเป็นปริศนา โดยเบื้องต้นเจ้าอาวาสยังไม่ให้ความร่วมมือ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องกดดัน จึงยอมมอบบัญชีธนาคารส่วนตัว 2 บัญชีให้กับตำรวจ ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

“บิ๊กเต่า”สั่งลุยสอบเงินเจ้าอาวาสวัดม่วงหาย ลั่นต้องแจงให้ชัดที่มาของเงิน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 4 ก.ค. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยความคืบหน้า ว่า จากการตรวจสอบบัญชีธนาคารส่วนตัวของเจ้าอาวาส พบว่าบัญชีแรกเคยมีเงิน 13 ล้านบาท ก่อนจะถูกถอนออกไป 10 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้เหลือเงินในบัญชี 3 ล้านบาท ส่วนอีกบัญชีเคยมีเงิน 10 ล้านบาท แต่ถูกถอนออกไปจนหมดเมื่อเดือนมีนาคม

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยอีกว่า เจ้าอาวาสอ้างว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินส่วนตัวที่สะสมมาตั้งแต่บวชเมื่อปี 2516 อย่างไรก็ตาม ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ เนื่องจากบัญชีธนาคารดังกล่าว เพิ่งถูกเปิดขึ้นไม่นานมานี้ จึงต้องรอตรวจสอบที่มาของเงินอย่างละเอียด และจะนำไปเปรียบเทียบกับบัญชีของวัด ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลการโอนเงินจากบัญชีวัดเข้าสู่บัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาสโดยตรง

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า ในส่วนของบัญชีทางการเงินของวัดม่วง อยู่ระหว่างการรอไวยาวัจกร ซึ่งเป็นผู้ถือบัญชีวัดแต่เพียงผู้เดียว ส่งมอบข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งจากการลงพื้นที่ที่ผ่านมา ตำรวจยังไม่พบตัวไวยาวัจกร แต่ก็ยังคงประสานงานเพื่อขอข้อมูลบัญชีดังกล่าว เนื่องจากถือเป็น “คีย์สำคัญ” ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ หรือมีเงินจากบัญชีวัดไหลเข้าบัญชีส่วนตัวของเจ้าอาวาส หรือถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด

สำหรับกรณีที่พระอดีตคนสนิทของเจ้าอาวาสวัดม่วง ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ว่าทราบที่มาของเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า สามารถมาร้องทุกข์และให้ข้อมูลกับ บก.ปปป. ได้เลย หรือหากต้องการให้เจ้าหน้าที่ไปสอบปากคำที่วัดก็สามารถทำได้ เพียงแต่ขอให้มีข้อมูลและพยานหลักฐานที่ตำรวจสามารถตรวจสอบได้ เพื่อประกอบการดำเนินคดีต่อไป