สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้การต้อนรับและพบหารือร่วมกับประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ผู้นำเม็กซิโก และนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา ที่กรุงวอชิงตัน โดยเป็นการประชุมไตรภาคีครั้งแรกในรอบ 5 ปี


สำหรับเป้าหมายหลักของการพบหน้ากันระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ คือการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และการทำความเข้าใจร่วมกันอีกครั้ง ต่อข้อตกลงการค้าไตรภาคีฉบับใหม่ ชื่อว่า “ข้อตกลงสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา” ( ยูเอสเอ็มซีเอ ) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่จะมาแทนความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ( นาฟตา ) ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2537 และเป็นความร่วมมือที่ผลักดันโดยรัฐบาลวอชิงตันชุดก่อนหน้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พบหารือกับประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ผู้นำเม็กซิโก และนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา ที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน


อย่างไรก็ตาม ผู้นำทั้งสามประเทศยังคงมีความเห็นไม่สอดคล้องกัน ในด้านการกำหนดเกณฑ์ภาษีเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยสหรัฐและแคนาดาเสนอนโยบายเพิ่มเติม เกี่ยวกับแรงจูงใจทางภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้า แต่เม็กซิโกเรียกต้องให้ไบเดนรักษาคำมั่นสัญญา ในเรื่องการเพิ่มโควตาวีซ่าทำงานระยะสั้น ทั้งที่สหรัฐกำลังขาดแคลนแรงงานในหลายภาคส่วน แต่รัฐบาลวอชิงตันกล่าวว่า เม็กซิโกยังไม่ได้ดำเนินการมากพอ เพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อน


ขณะที่แคนาดาและเม็กซิโกแสดงความวิตกกังวลต่อนโยบาย “บาย อเมริกัน” ของไบเดน ที่เป็นการเพิ่มเงื่อนไขการนำเข้าและการจัดซื้อสินค้าหลายชนิด ในอัตราอย่างน้อย 50% ต้องเป็นการผลิตในอเมริกา เพื่อเพิ่มการสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน และหลักการลดหย่อนภาษีบางข้อที่แคนาดาและเม็กซิโกมองว่า เข้าข่ายละเมิดเงื่อนไขของยูเอสเอ็มซีเอ แต่สหรัฐยืนกรานปฏิเสธ.

เครดิตภาพ : AP