จากกรณี นางสมเร็จ และนายสมชาย เกรัมย์ พ่อและแม่ของ “น้องหญิง” หรือ น.ส.พัชราภา เกรัมย์ อายุ 21 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สาขานิติศาสตร์ ปี 4 ที่ถูกรถเบนซ์ชนจนเสียชีวิต ขณะขี่จักรยานยนต์กลับบ้านเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณก่อนถึงทางกลับรถ ในพื้นที่ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งภายหลังศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดจริง ขณะที่ฝ่ายบริษัทประกันต้องจ่ายเงินเยียวยาผู้เสียหาย 2.5 ล้านบาท แต่กลับไม่ยอมจ่ายโดยให้เหตุผลว่า มีหลักฐานเอกสารยืนยันว่าเป็นความประมาทร่วม ทำให้ต้องไปฟ้องร้องคดีทางแพ่ง ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

พ่อแม่น้องหญิงเหยื่อประกันเบี้ยว บุกร้องโหนกระแส ทวงถาม คปภ.มีไว้ทำอะไร

เกี่ยวกับเรื่อง เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ในรายการโหนกระแส โดยพิธีกร หนุ่ม-กรรชัย กำเหนิดพลอย ได้เชิญ นางสมเร็จ และนายสมชาย เกรัมย์ พ่อและแม่ของ “น้องหญิง” และ นายชัยยุทธ มังศรี ผู้ช่วยเลขาธิการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคปภ. มาออกรายการพร้อมกับสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยฝ่ายพ่อของน้องหญิง ได้เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงที่น้องหญิงขี่จยย.กลับบ้าน ก่อนจะถูกรถเฉี่ยวชน โดยตัวน้องหญิงนอนหมดสติที่ฝากระโปรงรถ ส่วน จยย.ถูกชนลากไปไกลกว่า 100 เมตร

ส่วนภาพจากกล้องวงจรปิด มีเพียงช่วงก่อนถึงจุดเกิดเหตุ 200 เมตร ปรากฏเป็นภาพของ จยย.น้องหญิงและจยย.ที่ขี่ตามมาอีก 4-5 คัน ก่อนจะมีภาพรถเบนซ์ที่ขับตามหลังไปด้วยความเร็วสูง ทั้งนี้ แม่ของน้องหญิง ระบุว่า ตนยังทำใจไม่ได้ ไม่อยากมองเห็นภาพดังกล่าวและขอเมินหน้าหนี ก่อนจะร่ำไห้กอดรูปลูกสาวกลางรายการ ทำให้ หนุ่ม กรรชัย ต้องปลอบและขอให้ทำความเข้าใจว่าทางรายการไม่มีเจตนาจะทำให้คุณแม่ต้องร้องไห้เสียใจแบบนี้ แต่เราต้องเอาความจริงมาพูดคุยกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ทางแม่ของน้องหญิงตั้งสติได้ และมีอาการสงบลง

อย่างไรก็ตามในรายการได้พูดคุยถึงประเด็นที่สังคมรู้สึกสงสัยว่า ทำไม”คปภ.”ถึงบังคับให้บริษัทประกันจ่ายเงินเยียวยาไม่ได้ โดย นายชัยยุทธ อธิบายให้ฟังว่า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ทางศาลไม่ได้ระบุว่าทางบริษัทประกันต้องจ่ายเงิน 2.5 ล้านให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด คาดว่าทางพ่อแม่ของน้องหญิงจะเข้าใจผิดไปเอง เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกันก่อน คือในคดีอาญาศาลได้พิพากษาแล้วว่า ฝ่ายจำเลยคือคนขับรถเบนซ์ขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนที่ว่าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายอย่างไรนั้น ทางคนขับรถเบนซ์ได้ทำประกันเอาไว้กับบริษัทประกันแห่งหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น 2.5 ล้านบาท

ดังนั้นทางบริษัทต้องจ่ายเงินดังกล่าวชดเชยแทนผู้เอาประกันตามที่ได้ตกลงไว้ แต่เพราะบริษัทเห็นว่า ทางฝ่ายผู้ตายน่าจะขี่ จยย.ออกจากซอย แล้วตัดหน้ารถเบนซ์ทำให้เกิดเป็นเรื่องประมาทร่วม ตรงนี้สืบเนื่องจากช่วงเกิดเหตุฝ่ายคนขับรถเบนซ์ผู้เอาประกัน ไปให้การกับทางพนักงานบริษัทประกันไว้ก่อนว่า จยย.ขับออกจากซอย เพราะช่วงนั้นตกใจกลัวว่าจะมีควาผิด จึงให้การเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเองไว้ก่อน กระทั่งมีการพิสูจน์ในชั้นศาลว่าเกิดจากความประมาทเพียงผู้เดียว มีการขี่จยย.ตามกันมาก่อนจะถูกเฉี่ยวชน ซึ่งบริษัทประกันต้องจ่ายเงินตามที่ตกลงไว้

ด้านพ่อของน้องหญิงถามทางคปภ.ในรายการว่า “….แล้วทำไม คปภ.ถึงบังคับให้บริษัทจ่ายเงิน 2.5 ล้านไม่ได้…” ทำให้นายชัยยุทธ อธิบายว่า คือ ทางคปภ.ไม่ได้มีอำนาจไปบังคับให้บริษัทจ่ายเงินได้เหมือนศาล จึงทำได้เพียงไกล่เกลี่ย และชี้แจ้งถึงเหตุต่าง ๆ ได้เท่านั้น ก่อนหน้านี้คุณพ่อของน้องหญิงได้ส่งทนายไปร้องทุกข์ที่ คปภ.นนทบุรีก่อน จากนั้นพอ คปภ.ทำเรื่องสอบถามไปยังบริษัทประกัน ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีคำพิพากษาของศาล ทางบริษัทประกันจึงได้ชี้แจ้งไปว่า “…น่าจะเป็นความประมาทร่วม..” แต่พอศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้ว ทางบริษัทประกันก็ยังระบุว่า น่าจะเป็นความประมาทร่วมอีก ตรงนี้ทำให้ทาง คปภ.มองว่า บริษัทกำลังประวิงเวลาไม่ยอมจ่ายเงินหรือไม่ หากระทำเช่นนั้น คปภ.มีบทลงโทษคือ ปรับเงินวันละเกือบ 2 หมื่นบาท

ด้าน นายโชติวุฒิ เขียนนิลศิริ ทนายความของฝ่ายผู้ขับรถเบนซ์ กล่าวว่า หากมองในมุมนักกฎหมายจะเห็นว่าทาง คุณพ่อของน้องหญิงยังไม่ได้พูดคุยเจรจากับทางบริษัทประกันแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่บอกให้ฟ้องแพ่งเอาเองอีกด้วยนั้น มองได้ว่าทางบริษัทประกันต้องการจะยื้อเวลาจ่ายเงิน เพราะการไปฟ้องศาลแพ่งอย่างน้อยก็ต้องขึ้นศาลอีก 3 ศาล กว่าที่ครอบครัวของน้องหญิงจะได้เงินก็ต้องใช้เวลาอีกนาน.