นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมเตรียมการรองรับการเดินรถไฟขนส่งสินค้า น้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลาว่า ปัจจุบันเส้นทางรถไฟในความรับผิดชอบของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ก่อสร้างปรับปรุงทางรถไฟให้สามารถรองรับรถจักรบรรทุกสินค้าขนาด 20 ตัน/เพลาแล้ว เช่น เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพฯ-หนองคาย) สายตะวันออก (กรุงเทพฯ-ระยอง) และสายเหนือ (กรุงเทพฯ-เชียงใหม่) ทั้งนี้ยังมีสะพานรถไฟในบางสายทาง ยังไม่ได้ปรับปรุง โดยเฉพาะเส้นทางสายใต้ สะพานรถไฟส่วนใหญ่รองรับน้ำหนักบรรทุกได้เพียง 16 ตัน/เพลา และมีสะพานรถไฟ ซึ่งถึงกำหนดต้องบำรุงรักษาตามระยะเวลา เช่น สะพานหอในสายเหนือ 2 แห่ง ที่ จ.ลำปาง, สะพานรถไฟสายใต้ที่ จ.ชุมพร, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช 8 แห่ง, สะพานรถไฟช่วงวงเวียนใหญ่-มหาชัย 19 แห่ง และสะพานรถไฟช่วงหนองปลาดุก-สุพรรณบุรี 23 แห่ง

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า กระทรวงคมนาคมจะเร่งปรับปรุงสะพานรถไฟโดยใช้งบประมาณปี 66 ที่เสนอขอรับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ เพื่อให้ประชาชนที่เดินทางด้วยรถไฟได้รับความปลอดภัยสูงสุด และลดระยะเวลาในการเดินทาง รวมทั้งส่งเสริมการขนส่งสินค้า ให้รองรับปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น จากเดิมรถจักรน้ำหนักกดลงเพลา 16 ตัน/เพลา รองรับการขนส่งสินค้าได้ ขบวนละ 2,100 ตัน หากปรับปรุงสะพานรถไฟให้รองรับการใช้รถจักรน้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา จะรองรับเพิ่มขึ้นเป็นขบวนละ 2,500 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 20% และสามารถใช้ความเร็วผ่านสะพานได้สูงสุดถึง 70 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมง (ชม.) จากเดิมที่รถจักรจะผ่านสะพานรถไฟด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กม.ต่อ ชม.

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า สำหรับสะพานรถไฟในส่วนที่เหลือ กระทรวงคมนาคมจะขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 67-69 ตามลำดับความจำเป็นในการปรับปรุง เพื่อปรับปรุงสะพานรถไฟทั่วประเทศ ให้รองรับน้ำหนักบรรทุก 20 ตัน/เพลา ส่วนสะพานที่อยู่ในเส้นทางที่มีแผนก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จะดำเนินการปรับปรุงสะพานให้รองรับน้ำ 20 ตัน/เพลา ไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตามปัจจุบัน รฟท. มีรถจักรดีเซลไฟฟ้า ซึ่งอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน 219 คัน แบ่งเป็น รถจักรดีเซลไฟฟ้า (CSR) รุ่นใหม่ น้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา 20 คัน ใช้ขนส่งสินค้า

ส่วนรถจักรที่มีน้ำหนักกดลงเพลา 15-16 ตัน/เพลา ได้แก่ รถจักรดีเซลไฟฟ้า (GEA) 36 คัน รถจักรดีเซลไฟฟ้า (Hitachi) 21 คัน รถจักรดีเซลไฟฟ้า (Alsthom) 97 คัน และรถจักรดีเซลไฟฟ้า (GE) 45 คัน โดย รฟท. ได้ดำเนินการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่เพิ่มเติมอีก 50 คัน เพื่อทดแทนรถจักร GE เดิม ที่มีอายุการใช้งานกว่า 55 ปื โดยรถจักรดีเซลไฟฟ้า 20 คันแรกจะมาถึงไทยกลางเดือน ม.ค.65 ก่อนนำมาทดสอบ และจะนำมาวิ่งให้บริการได้ประมาณกลางปี 65 และอีก 30 คัน จะได้รับมาในปี 66 นอกจากนี้ รฟท. อยู่ระหว่างติดตั้งระบบป้องกันการชนอัตโนมัติ (Automatic Train Protection : ATP) ให้กับรถจักร CSR และ Alsthom 70 คัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 66

นายศักดิ์สยาม กล่าวด้วยว่า ATP จะช่วยควบคุมระยะห่างของขบวนรถแต่ละคันให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน รถจักรจะทำการเบรกอัตโนมัติ เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้ในทางรถไฟร่วมกับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ รฟท. อยู่ระหว่างเตรียมประกวดราคาการปรับปรุงรถจักรให้มีสภาพใหม่ (Refurbish) รวมทั้งติดตั้งระบบ ATP ให้กับรถจักร GEA และ Hitachi อีก 57 คัน เพื่อยกระดับการให้บริการ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้โดยสารระบบรางต่อไป

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้ 1. รฟท. ตรวจสอบข้อมูลว่าสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ จ.หนองคาย รองรับ 20 ตัน/เพลา เพียงพอหรือไม่ โดยประสานตรวจสอบว่า สะพานในโครงการรถไฟลาว-จีน ออกแบบรองรับกี่ตัน/เพลา เพื่อให้มีความสอดคล้องและรองรับปริมาณการขนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.ให้ รฟท. พิจารณาตรวจสอบว่า สะพานรถไฟในประเทศไทยมีจุดใดที่ต้องดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซม และบำรุงรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถเดินรถได้อย่างปลอดภัย โดยให้พิจารณาขอรับการจัดสรรงบกลาง หรืองบประมาณเหลือจ่ายของ รฟท. และให้ดำเนินการภายในปี 65

3. ให้ รฟท. จัดทำข้อมูลจัดหารถจักร และล้อเลื่อนเพิ่มเติม โดยพิจารณาแนวทางการลงทุนหลากหลายรูปแบบ เช่น งบประมาณ เงินกู้ การ outsource ให้กับเอกชน หรือการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) นอกจากนี้ในการจัดหาหัวรถจักรให้พิจารณาเป็นหัวรถจักรไฟฟ้าหรือระบบไฮบริด (hybrid) โดยเฉพาะในย่านสถานีกลางบางซื่อ และให้ รฟท. จัดทำแผนปฏิบัติการ (action plan) ในการดำเนินงานรองรับการใช้งานสถานีกลางบางซื่อให้ชัดเจนด้วย.