‘ศุภลักษณ์ อัมพุช’

‘ศุภลักษณ์ อัมพุช’ ประธานกรรมการบริหาร เดอะ มอลล์ กรุ๊ป เล่าถึง จุดเริ่มต้นในความเชื่อเรื่องพลังบวกว่า เริ่มต้นตั้งแต่เด็ก ๆ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผู้เป็นบิดาคือ คุณศุภชัย อัมพุช ซึ่งเป็น Role Model ในเรื่อง Positive Thinking มาโดยตลอด โดยเฉพาะตอนเริ่มทำงานในวงการรีเทลใหม่ ๆ จะมีอุปสรรคมากมาย แต่เพราะเป็นคนคิดบวกและได้รับพลังบวกจากคุณพ่อ ทำให้ไม่ท้อถอยและมองอุปสรรคเป็นความท้าทาย ส่งผลให้สามารถทำงานด้านรีเทล ยาวนานมากว่า 40 ปี และเชื่อมั่นว่าพลังบวก การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยืนหยัดฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ จนสามารถนำพาให้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป เป็นหนึ่งในผู้นำวงการรีเทลของประเทศไทย และอีกหนึ่งความภาคภูมิใจสำหรับปีนี้คือการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Chevalier de la Legion d’Honneur ชั้นสูงสุดของฝรั่งเศส

“แอ๊วมีแนวคิดเรื่อง Positive Thinking ซึ่งเป็นพลังบวกที่ช่วยหล่อหลอมแอ๊วมาตั้งแต่เด็ก ๆ นอกจากนี้แอ๊วยังมีความเชื่อมั่นในพลังทั้ง 3 ที่เข้ามาเสริมพลังบวก ได้แก่ THE POWER OF LOVE พลังแห่งความรัก และความห่วงใยซึ่งกันและกัน THE POWER OF FAITH พลัง แห่งความศรัทธาและเชื่อมั่น THE POWER OF TOGETHERNESS พลังแห่งความร่วมแรงร่วมใจ โดยแอ๊วนำพลังทั้ง 3 มาใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งกับครอบครัว รวมถึงครอบครัวเดอะมอลล์ และพันธมิตรทางธุรกิจทุกท่าน โดยเฉพาะในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ที่ทั่วโลกเผชิญกับวิกฤติ โควิด-19 เราคนไทยทุกคนควรมีความรัก ความห่วงใย และความปรารถนาดีต่อกัน คอยสนับสนุนช่วยเหลือกัน เพื่อนำพาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤติ โดยจะเห็นได้ว่า ถ้าเรามีความคิดบวก เราจะสามารถเปลี่ยนความท้อแท้ สิ้นหวัง เป็นพลัง และลุกขึ้นมาเอาชนะทุกอย่างได้ ในภาวะวิกฤติโควิด-19 ความคิดบวกของแอ๊วคือ แอ๊วเชื่อว่าในทุกวิกฤติ มีโอกาสเสมอ และเราต้องพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสให้ได้ “ทุกคนต้องไม่ยอมแพ้” ทุกคนต้องลุกขึ้นมาสู้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้ในช่วงวิกฤติ คือ ความรัก ความห่วงใย ความเชื่อมั่น และกำลังใจจากทุกคนที่มีให้แก่กัน ถ้าเรามีกำลังใจ มีความหวังเราก็จะสามารถฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปได้” แม่ทัพหญิงแกร่งแห่งเดอะมอลล์ กรุ๊ป ย้ำชัดถึงเรื่องพลังแห่งการคิดบวก

‘มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ’

‘มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ’ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เล่าถึงจุดเริ่มต้นความเชื่อพลังบวก ว่า “จุดเริ่มต้นของพลังบวกของแป้ง คือ การเปลี่ยนความคิดตัวเองจากประโยคที่คุณพ่อของแป้งกล่าวเอาไว้ว่า “ไม่มีอะไรเป็น The end of the world” ในวัยที่อายุแค่ 25 ปีเท่านั้น ตอนนั้นกำลังเกิดปัญหาขึ้นกับการมองเห็นของแป้ง โดยได้รับการวินิจฉัยว่าแป้งเป็นโรคม่านตาอักเสบ ที่หาสาเหตุไม่ได้ แป้งเครียดมากรู้สึกว่าทุกอย่างมันจบลงแล้ว จนเกิดปาฏิหาริย์ แป้งกลับมามองเห็นอีกครั้ง เพียงประโยคนั้นของคุณพ่อ “ถึงไม่มีตาซ้าย ก็ยังมีตาขวา ไม่มีปัญหาไหนที่เป็นจุดสิ้นสุดของโลก” ก็ปลุกเราให้ได้สติ และเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย ความคิดของเรานี่แหละคือพลังบวกที่พาเราไปต่อ แป้งยึดถือคำนี้ของคุณพ่อมาตลอดทั้งการใช้ชีวิตและการทำงาน จนกลายเป็นคนคิดบวกกับทุกเรื่อง ต่อให้เจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน เราก็จะผ่านไปได้เสมอ แป้งบอกกับตัวเองทุกวันค่ะ”

มาดามแป้งย้ำถึงความเชื่อในเรื่องพลังบวกที่นำมาใช้ในวิถีแห่งตนว่า “การที่แป้งจะเริ่มต้นทำสิ่งใด หรือลงมือทำอะไรก็ตาม แป้งจะเป็นคนที่ต้องตั้ง “เป้าหมาย” ให้ชัดเจน ลงมือทำด้วย “ความตั้งใจ” และผสมผสานมันไปกับ “passion” (แพสชั่น) ถือว่า 3 สิ่งที่แป้งกล่าวไปเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแป้งมาก ๆ เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าในอีก 5 นาทีข้างหน้า หรือวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น จะพบกับอุปสรรคเรื่องยาก ๆ หรือไม่ เพราะแป้งเชื่อว่า พลังบวก อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เราสบายใจ ยิ้มได้กับทุกสถานการณ์ของชีวิต ไม่ใช่แค่ตัวเรา คนรอบข้างเองก็มีความสุข กลายเป็นสังคมที่ส่งต่อพลังบวกให้กันไปเรื่อย ๆ แบบไม่สิ้นสุด คุณพ่อของแป้งในวัยใกล้ 90 ปี ท่านมองโควิด-19 ไปตามธรรมชาติ เมื่อโลกก้าวมาไกล ทรัพยากรมีจนล้น โควิดจึงเข้ามาเพื่อปรับสมดุลของโลกดังเช่นไข้หวัดสเปนที่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายสิบล้านคนทั่วโลก สำหรับแป้ง เราต่างคิดว่าดิจิทัลจะมาดิสรัปผู้คน แต่กลายเป็นโควิดต่างหากที่เข้ามาแบบไม่คาดฝัน ในมุมของคนทำประกัน วันนี้โควิดยังอยู่กับเราอีกนาน ศาสตร์สำคัญคือการปรับตัว ปรับเปลี่ยน ดังนั้น ความคิดของเราสำคัญที่สุด คิดอย่างไรก็ได้เช่นนั้น เหมือนบทกลอนนี้ “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย” ข้างหน้าจะเป็นโคลนตมหรือดวงดาว อยู่ที่คุณจะเลือกมองอย่างไร”    

‘คุณบุ้ง สะธี ใบหยก’

‘คุณบุ้ง สะธี ใบหยก’ ผู้ช่วยประธานกลุ่มใบหยก เล่าว่า พลังบวกของบุ้งน่าจะเริ่มต้นชัดเจนในสมัยเข้ามหาวิทยาลัย เพราะได้เจอเพื่อนหลากหลายสังคม บ้าน โรงเรียน จังหวัด จากที่เคยอยู่มัธยมเรียนอันดับรั้งท้าย พอเข้ามหาวิทยาลัยได้เจอสังคมที่เปิดกว้างขึ้น ได้เจอคนที่หลากหลาย ทำให้เราค้นพบว่า เราไม่ควรมองแต่คนที่สูงกว่าเรา เพื่อกดดันตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงคนเราเก่งไม่เท่ากัน และมีความสามารถในรูปแบบที่แตกต่างกันการที่เราเรียนไม่เก่ง ก็ไม่ได้ทำให้เราแย่ เราก็มีความสามารถด้านอื่น การคิดบวกของบุ้งเกิดจากการมีเพื่อนเยอะขึ้นจากที่อยู่สังคมเดิม ๆ ตั้งแต่ประถมถึงมัธยม พอเข้ามหาวิทยาลัยเจอเพื่อนหลายสังคม

คุณบุ้งบอกถึงวิธีการสร้างพลังบวกเสริมพลังใจให้ตัวเองว่า “ปัจจุบันรอบตัวเรามีเรื่องเครียดเยอะแล้ว พลังบวกของบุ้ง คือ ถ้าเรามองทุกอย่าง มองเรื่องของคนทั้งโลก ของคนรอบตัวเรา ของตัวเอง เป็นเรื่องผิดพลาด ก็จะเครียดจิตตก วิธีสร้างพลังบวกของบุ้งง่าย ๆ คือ “ปล่อยวางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง” ใครจะทำอะไรก็เรื่องของเค้า เก็บแต่สิ่งดี ๆ ที่เราเห็น แค่รอยยิ้มของลูก ความสุขของคนในครอบ ครัวก็เป็นพลังบวกที่ยิ่งใหญ่ บุ้งจะมองแต่ความสุขคนรอบตัว เช่น คนในออฟฟิศ คนใกล้ตัว แม่บ้าน คนที่เราสนิทที่คุยด้วย เพื่อน ญาติพี่น้องที่สนิท”    

 ‘คุณอุ่น ลฎาภา เบลี่ย์’

 ‘คุณอุ่น ลฎาภา เบลี่ย์’ เจ้าของเพจตามติดชีวิตแม่บ้านแขก บอกว่า “อุ่นมีความเชื่อเรื่องพลังบวกมาก พลังบวกไม่ใช่โลกสวย ไม่ใช่มองโลกแบบทุ่งลาเวนเดอร์ที่คนเขาเอาไว้พูดกัน พลังบวกคือ การสร้างพลังในจิตใจ ทำให้เรารู้สึกสดชื่น กล้าที่จะเผชิญอะไรหลาย อย่าง อยู่ที่ข้างใน ถ้าข้างในเราดีมันจะค่อย ๆ ออกมาข้างนอกเอง นี่คือพลังบวก พลังบวกสำหรับอุ่นน่าจะเกิดสมัยทำงาน พลังบวกจะเกิดขึ้นมันจะต้องรู้จักปรับความคิดทุกอย่างของเรา อุ่นขอเริ่มต้นจากพลังลบก่อน ถ้าเราเคยอยู่ร่วมกับคนพลังลบ ถามว่า พลังลบคืออะไร คนที่นั่งอยู่บอกว่า ทำไมอากาศวันนี้แย่ ไม่มีรถก็บ่น รถติดก็บ่น ร้อนเกินไป หนาวเกินไปก็บ่น ทุกอย่างในชีวิตพลังลบหมด ถ้าเราอยู่ใกล้คนพลังลบมันจะออโต้ เหมือนโรคติดต่อ อุ่นโชคดีที่อยู่บ้านกับเพื่อนที่ส่งพลังบวกให้ตลอด ตอนทำงานเป็นแอร์โฮสเตส เพื่อนจะกระตุ้นและแนะนำให้ทุกอย่างเป็นบวกหมด การคิดบวกไม่ใช่การมองโลกให้สวย แต่มองโลกแบบมีความตระหนักรู้ตลอดเวลา ตอนทำงานบินหนักมาก เจอคนร้อยพ่อพันแม่ ถ้าเรามีพลังบวกกับอาชีพการงาน เพื่อนอุ่นสอนเสมอว่า ทุกครั้งที่ไม่อยากไปบิน ทุกครั้งที่เครียด ทุกครั้งที่มีปัญหาบนไฟลต์ทุกครั้งที่คิดว่าชีวิตจะแย่ ให้คิดทุกครั้งว่าจะมี Seat belt sign on เวลาแลนด์ปุ๊บทุกอย่างจะจบแล้ว เพื่อนอุ่นสอนดีมาก อุ่นคิดแบบนี้ตลอดเวลาที่เหนื่อยบนไฟลต์พอ Seat belt sign on แลนด์แล้วก็จบถึงโรงแรมพักผ่อน จะมีพลังได้ตลอดเวลาและมีความสุขในการทำงาน มีอุปสรรคจริง ทุกครั้งอุปสรรคจะผ่านไป”

“อุ่นนำพลังบวกมาใช้ตลอด ถ้าเรารู้จักการใช้พลังบวกแล้ว เมื่อไหร่ที่เราเริ่มใช้ หลังจากนั้นจะมีติดตัวตลอดเรารู้แล้วว่าข้อดีคืออะไร ข้อดีทำให้เรามีความสุขขนาดไหน คุณจะอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ จะอยู่ในที่อากาศแย่ก็ได้ ถ้าคุณมองโลกในความเป็นจริงก็จริงแต่ว่ามีพลังบวกให้ตัวเองตลอดเวลา อยู่ที่ไหนคุณก็มีความสุขตลอดเวลา อุ่นเชื่อว่า มุมมองความคิดหรือทัศนคติเป็นตัวที่จะนำสภาพความคิด บางทีนำการกระทำของเราด้วย คำพูด การกระทำทุกอย่างมาจากทัศนคติและข้างในจิตใจของเรา บางทีเราเห็นใครพูดหรือเขียนอะไร เรามองได้โดยเบื้องต้นว่า เขามีทัศนคติในการใช้ชีวิตอย่างไร มีความสุขไหม ฟังไปแค่ห้านาทีก็รู้ว่าเขามีความสุขกับชีวิตไหม คนที่มีความสุขเขาจะไม่พูดทุกอย่างเป็นลบ” คุณอุ่นบอกถึงข้อดีของพลังบวกที่นำมาใช้ในชีวิต 

 ‘แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส’

‘แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2021 บอกถึงความรู้สึกที่มีต่อพลังบวกว่า “แอนมองว่าพลังบวกคือ การสะกดจิต สร้างกำลังใจให้ตัวเองยิ่งขึ้นเราจะหาเอนเนอจี้จากข้างในมาสู้ต่อได้ในสิ่งที่เราจะต้องทำต่อ แอนนำพลังบวกมาใช้เยอะมากหลังประกวด ความแข็งแรงของเรา จิตใจเรา พอเราตกรอบ แอนยึดในสิ่งที่แอนมีกำลังใจ การที่ตกรอบรู้สึกเสียใจมากที่ทำให้คนผิดหวัง แอนเข้ามาประกวดตั้งแต่แรก แอนเข้ามาแบบจริงใจมาก และแอนทำเคมเปญ “เรียลไซซ์ บิวตี้” (Real size Beaty) เวลาแอนเห็นคนกดรับแคมเปญนี้ แอนไม่ได้เฟล (Fail) แอนมีจุดประสงค์ในการประกวด แอนรู้เรื่องพลังบวกมาก่อนและใช้มาตลอดชีวิต โดยเฉพาะตอนแอนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ประเทศออสเตรเลีย ตอนอายุ 17-18”

“การคิดบวกบางทีอาจจะโกหกตัวเองในอีกมุมหนึ่ง แต่แอนดูว่า อย่างแรก มันสะกดจิตจริง ๆ พอเราคิดบวกเราจะรีเฟลกซ์ เราจะเริ่มกลับมาย้อนดูว่า การที่คิดแนวลบ จะยิ่งทำให้ชีวิตยิ่งลบขึ้นได้ แอนยึดในคนที่แอนเห็น คุณค่าของแอน การที่แอนเป็นตัวของตัวเอง การที่แอนตั้งใจ แอนจริงใจ การที่แอนประกวด แอนได้ประสบการณ์ แอนไม่ได้เปลี่ยนตัวตนของแอน แอนเลือกเอาว่าจะเอาอะไรมาพัฒนาต่อไปมากกว่า และยึดในสิ่งที่เราเชื่อ เข้าใจว่าทุกคนคาดหวังสูง มีการผิดหวัง แล้วแอนรู้ว่า คนเรามีการพัฒนาได้ตลอด แอนมีความรับผิดชอบในการที่จะทำตำแหน่งนี้ดีที่สุดที่แอน ทำได้ ถ้าความคิดเห็นต่าง ๆ แอนเปิดใจรับ เพราะมันคือ ความรับผิดชอบที่จะต้องทำอย่างนั้น เพราะแอนเป็นบุคคลสาธารณะแล้วที่จะเป็นกระบอกเสียง ในสิ่งที่แอนเชื่อว่าสำคัญและก็เชื่อว่าคนอื่น ๆ คิดว่าสำคัญ แอนเป็นคนง่าย ๆ มีความสุขและหาความสุขกับเรื่องง่าย ๆ ถ้าตัวตนแอนจริง ๆ เป็นคนจริงใจมาก ตั้งใจทำในสิ่งที่แอนอยากทำจริง ๆ ขี้อ้อน ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิด เป็นคนที่ชอบอยากกอดทุกคน แต่รู้ว่าสังคมวัฒนธรรมต่างกัน เป็นคนสนุกยิ้มง่าย มั่นใจในสิ่งที่แอนให้คนอื่นได้ และลาสต์ วัน แอนกินเก่ง เพระมีความสุขเวลากิน” แอนชิลี ทิ้งท้ายถึงการนำเรื่องแนวคิดพลังบวกมาใช้ในชีวิต

‘คุณจ๋า-ชิษณุชา พึ่งเพียร’

คุณจ๋า-ชิษณุชา พึ่งเพียร’ หรือ เจย์ เครน เจ้าของ ช่อง “jayycrane” ในยูทูบ และเจ้าของเพจ jayycrane เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเชื่อเรื่องพลังบวกว่า เมื่อสามปีที่แล้วเป็นโรคซึมเศร้า ต้องพบจิตแพทย์ทุกอาทิตย์ และได้รับคำแนะนำที่ดีมากจากจิตแพทย์คือ เวลาติดอยู่กับความคิดลบๆ ความกลัวความกังวล ให้ถามตัวเองว่า เวลาเป็นแบบนี้แล้วเราได้อะไรบ้าง คำตอบคือ ได้ความเครียดความเศร้าความมืดมน และก็ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงไปด้วย แต่ถ้าเปลี่ยนความคิดมาเป็นว่า อะไรที่เราควบคุมไม่ได้ ไม่ควรนั่งกังวลและกลัว เพราะไม่ช่วยอะไรเราเลย แต่ถ้าเราปรับความคิดมาโฟกัสกับสิ่งที่เราควบคุมได้ เช่น อะไรที่ทำแล้วมีความสุข มีความสุขกับครอบครัวและคนที่เรารัก ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดในทุกๆ วัน อยู่กับความรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่เรามีรอบตัว นั่นคือสิ่งที่เราควบคุมได้ และผลลัพธ์ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขขึ้นซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาในการฝึกสมอง ฝึกปรับความคิด แต่ถ้าทำไปเรื่อยๆ จะชินและกลายเป็นคนที่มีพลังบวกตลอดเวลาไปเอง

คุณจ๋า บอกถึงผลดีในการนำเรื่องพลังบวกมาใช้ว่า “หลังจากที่จ๋าได้ฝึกการปรับความคิดและจิตใจมาใช้พลังบวกมากขึ้น ทำให้ชีวิตประจำวันของจ๋าง่ายขึ้นมากๆค่ะ อย่างเช่น เวลาติดต่อธุรกิจ ทำงาน หรือไม่ว่าจะทำอะไร เวลาเจอปัญหา ก็จะถามตัวเองว่า เรื่องนี้เราทำอะไรได้บ้าง เรื่องไหนเราควบคุมและควบคุมไม่ได้บ้าง เรื่องที่เราควบคุมได้ จ๋าก็ทำให้ดีที่สุด และเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ จะไม่เอามากังวลมากเกินไป จนทำให้ไม่มีจิตใจทำอย่างอื่น หรือทำให้คนรอบข้างเครียดไปด้วย การปล่อยวางก็คือ อีกเรื่องที่สำคัญ อะไรที่เราทำพลาดและไม่สามารถแก้ได้แล้ว จ๋าจะมองหาข้อดีในความผิดพลาดนั้น ว่าเราได้เรียนรู้บทเรียนที่ไม่มีในห้องเรียน ซึ่งมันมีค่ามากๆ ที่ทำให้เราเก่งขึ้นในอนาคต และก็ปล่อยความผิดหวังหรือเศร้าไป แล้วหันมาตั้งใจทำเรื่องใหม่ๆที่ทำให้เราดีขึ้นในวันพรุ่งนี้”

“จ๋าคิดว่าความคิดบวกในช่วงโควิด เป็นไปได้ค่ะ อย่างแรกคือ ช่วยฝึกให้เรามีความอดทนและความเข้มแข็งมากขึ้น เพราะเราต้องผ่านมันไปให้ได้ และถ้าเราท้อ เราต้องมองรอบๆ ตัวเราว่า คนทั้งโลกก็เผชิญสถานการณ์เดียวกับเรา บางคนอาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ ไม่ใช่เราคนเดียวที่ต้องเจอปัญหานี้ เพราะฉะนั้นถ้าคนอื่นผ่านไปได้ เราก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน อย่างที่สองคือ การมองหาข้อดีในเรื่องแย่ๆ หรือฝรั่งเรียกว่า silver lining อย่างเช่นสถานการณ์นี้ได้ทำให้เรามองเห็นว่า ทุกปัญหาไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน ย่อมมีทางแก้เสมอ บางปัญหาอาจจะใช้เวลานาน บางปัญหาอาจจะใช้เวลาน้อย แต่ย่อมมีทางแก้เสมอ มันทำให้เรารู้ว่า เวลาเจอปัญหา เราต้องไม่ยอมแพ้ เราแค่ต้องพยายามหาทางแก้แทนการนั่งเศร้าและโทษตัวเองค่ะ อย่างที่จ๋ากล่าวก่อนหน้านี้คือ ถ้าคนอื่นทำได้ เราก็ทำได้เช่นกันค่ะ” คุณจ๋าย้ำถึงการใช้พลังบวกในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19