จากกรณี มีพระสงฆ์ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกสูญเงินไป 140,000 บาท ภายหลังเข้าแจ้งความกับตำรวจให้ช่วยตามล่าหาตัวมิจฉาชีพแก๊งนี้แล้ว แต่ภายหลังจากตกเป็นข่าวปรากฏว่า กระแสตีกลับมีชาวบ้านตั้งข้อสงสัยว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินวัดหรือไม่ ทำไมพระรูปนี้ถึงมีเงินแสนในบัญชี ทำให้เกิดเป็นกระแสต่อว่าต่อขานพระสงฆ์รูปนี้อย่างหนัก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 12 ม.ค. พระกรวิชญ์ วชิรญาโณ หรือ “หลวงพี่โอ” อายุ 32 ปี พระลูกวัดมหัตตมังคลาราม หรือวัดหาดใหญ่ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้ชี้แจงว่า เงินที่โดนแก๊งคนร้ายหลอกเอาเป็นไม่ใช่เงินที่มาจากญาติโยมถวายแต่อย่างใด แต่เป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายหลังจากที่เคยทำงานหนักก่อนจะมาบวช ส่วนพฤติกรรมที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้นั้นมาในรูปแบบของการโทรฯ มาแจ้งว่า มาจากบริษัทขนส่งเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งว่ามีกล่องพัสดุเป็นชื่อของตนถูกส่งไปที่ จ.เชียงใหม่ ภายในมีหนังสือเดินทาง 14 เล่ม บัตรเอทีเอ็ม 10 ใบเสื้อผ้า 8 ชุด และทางศุลกากรบอกว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายพัวพันกับแก๊งฟอกเงิน และขอไอดีไลน์จะให้ตำรวจติดต่อกลับไป

ผ่านไปเพียง 2 นาที ก็มีตำรวจคนหนึ่งโทรฯ มาบอกว่าเป็นรองสารวัตร สภ.เชียงใหม่ ให้ตนไปพูดที่ไม่มีคนและสอบสวนตน ก่อนที่จะให้คุยกับสารวัตรอีกคนอ้างชื่อว่า ร.ต.อ.ภาณุวัฒน์ ด้วงบ้านยาง มีการขอเลขบัตรประชาชนไปตรวจสอบบอกว่าตนพัวพันคดีฟอกเงินพันล้าน และมีผู้ต้องหาที่ถูกจับซัดทอดว่าตนเป็นคนรับจ้างเปิดบัญชีได้ค่าจ้าง 12,000 บาทต่อบัญชี และได้ส่วนแบ่งจากการฟอกเงิน 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 850,000 บาท และยังขอตรวจสอบบัญชีการเงินของตนซึ่งมีอยู่ 3 บัญชี แต่มีบัญชีเดียวที่มีเงินอยู่ 150,000 บาท

โดยให้ตนโอนเงินไปให้ทั้งหมดบอกว่าจะให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสอบเงินว่าถูกต้องหรือไม่ ใช้เวลาในการตรวจสอบเงินไม่เกิน 40 นาที และระหว่างที่ตรวจสอบเงินก็ให้ถือสายโทรศัพท์รอได้เลย หากเป็นเงินถูกต้องก็จะโอนกลับให้ และพูดย้ำว่าจะเอายศเอาเกียรติของตำรวจเป็นประกัน ว่าจะโอนกลับให้ แต่ถ้าไม่โอนก็จะออกหมายจับในคดีฟอกเงินและจะตามไปจับถึงที่วัด

ด้วยความที่มั่นใจว่าเงินตนเป็นเงินบริสุทธิ์ไม่ผิดกฎหมายและต้องการที่จะปกป้องผ้าเหลือง ปกป้องวัด เพราะถ้าตำรวจมาจับถึงวัดไม่ว่าเรื่องจะจริงไม่จริง ก็จะสร้างความเสียหายให้กับวัดและพระพุทธศาสนา จึงยอมโอนไปให้ 140,000 บาท เข้าบัญชี น.ส.เวฬุรีย์ ปิติเลิศวงศ์ โดยเหลือไว้ในบัญชี 10,000 บาท เพราะตนจะเก็บไว้ให้โยมแม่ ตลอดการพูดคุยเกือบ 2 ชั่วโมง ไม่ได้มีการวางสายโทรศัพท์แต่อย่างใด ทั้งยังได้ยินเสียง ว.ของตำรวจดังขึ้นตลอดด้วย

แต่หลังจากที่โอนเงินไปแล้ว ตนก็ถือสายโทรศัพท์รอและเหลือเพียงอีก10 นาที จึงร้อนใจสอบถามกลับไปว่าโอนเงินกลับมาหรือยัง ปลายสายก็พูดว่า “หลวงพี่ครับขออนุญาตบล็อก” และตัดสายทิ้งไป ตอนนั้นเริ่มสั่นและอยู่ไม่ติดเพราะเริ่มรู้ตัวว่าน่าจะถูกหลอก จึงโทรฯ กลับไปอีกทีก็มีคนรับและตนถามกลับไปว่า “เมื่อกี้โยมพูดว่าขออนุญาตบล็อกหรือ” และปลายสายบอกสั้นๆ ว่า “ตามนั้นครับ” และตัดสายไปและโทรฯ ไม่รับอีกเลย และเมื่อตรวจสอบไปยัง ร.ต.อ.ภาณุวัฒน์ ด้วงบ้านยาง ที่ถูกอ้างถึง พบว่าเป็นตำรวจจริงแต่อยู่ที่ สภ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ไม่ได้อยู่เชียงใหม่ และเมื่อโทรฯ ไปคุยก็พบว่า โดยแก๊งเอาชื่อไปอ้างจนมีผู้เสียหายกว่า 40 รายแล้ว

“….ตอนนี้กลายเป็นจำเลยของสังคม เหตุเพราะบางคนเข้าใจผิด คิดว่าเงินที่ถูกหลอกไปเป็นเงินของวัด เป็นเงินที่ชาวบ้านมาทำบุญ บางคนก็ด่าว่าจนแทบไม่อยากอ่านคอมเมนต์ ความจริงแล้วเงิน 1.4 แสนบาทเป็นเงินเก็บที่สะสมจากการทำงานมาก่อนบวช แต่เพราะช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ทำให้ไม่มีงานทำและเกิดความเครียดหนัก ต้องหันเข้าหาวัด เพื่อสงบจิตใจ ขณะนี้ผ่านไปแล้ว 1 ปีเศษ คิดว่าจะบวชต่อไปเรื่อย ๆ เพราะชอบความสงบและสบายใจ….” พระกรวิชญ์ กล่าวทิ้งท้าย