สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ว่า นพ.เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 บนโลก ว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นประมาณ 15 ล้านคน ภายในระยะเวลา 7 วันล่าสุด เพิ่มขึ้นประมาณ 55% เมื่อเทียบกับรอบสัปดาห์ก่อนหน้า และเสียชีวิตเพิ่มอีก 43,000 ราย ถือเป็นสถิติที่ทรงตัว


ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกภูมิภาคบนโลกรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ยกเว้นทวีปแอฟริกา ที่รายงานสถิติผู้ติดเชื้อในรอบสัปดาห์ล่าสุด ลดลง 11% ขณะที่ภูมิภาคซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 วันที่ผ่านมา คือเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแม้สถิติผู้เสียชีวิตลดลง 6% แต่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 400% โดยดับเบิลยูเอชโอจับตาสถานการณ์ในอินเดีย ติมอร์เลสเต ไทย และบังกลาเทศ


ส่วนสถานการณ์ในทวีปยุโรปนั้น สถิติผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 31% จากรอบสัปดาห์ก่อน และสถิติผู้เสียชีวิตลดลง 10% ทั้งนี้ การที่สหรัฐยืนยันผู้ติดเชื้อมากกว่าวันละ 1 ล้านคน อย่างน้อยสองวัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นปัจจัยสำคัญซึ่งส่งผลให้สถิติผู้ป่วยรวมทั่วโลกเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด


นพ.เทดรอส กล่าวต่อไปว่า เชื้อโอมิครอนกำลังก้าวขึ้นมาแทนที่เชื้อเดลตาในแทบทุกประเทศบนโลกแล้ว แม้มีผลการศึกษาออกมามากขึ้น ว่าเชื้อโอมิครอนส่งผลให้เกิดอาการป่วย “รุนแรงน้อยกว่า” เชื้อไวรัสอีกหลายสายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม เชื้อตัวนี้ “ยังคงอันตรายในทางระบาดวิทยา” โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 90 ประเทศ ที่ยังฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรไม่ถึง 40%


ทั้งนี้ ผู้อำนวยการดับเบิลยูเอชโอทิ้งท้ายว่า โควิด-19 “ยังไม่ใช่โรคประจำถิ่น” แม้ส่วนใหญ่ของจำนวนผู้ป่วยต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เป็นผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน แต่หากโลกไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดระลอกปัจจุบันได้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มความตึงตัวให้กับระบบสาธารณสุขอีกครั้งแล้ว มีความเสี่ยงที่เชื้อไวรัสจะยิ่งกลายพันธุ์ และเชื้อตัวใหม่อาจแพร่เร็วขึ้น หรือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตมากขึ้นอีก.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES