เมื่อ 13 ม.ค. นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ ได้พานายฮาซัน รักหอม อายุ 27 ปี ผู้เสียหายกรณีถูกจับการบูรและถูกกล่าวหาว่าเป็นยาเสพติด พร้อมด้วยญาติเดินทางมาที่โรงพัก สภ.สำโรงเหนือ สมุทรปราการ เพื่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาที่ได้ร่วมกันกล่าวหาว่า ผู้เสียหายว่ามียาเสพติดและทำร้ายร่างกาย

นายไพศาล กล่าวว่า วันนี้ได้พาผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดี โดยจะมีการแยกกันแจ้งเป็นทั้งคดีอาญา และคดีแพ่ง โดยจะเป็นทั้งสองส่วน ในส่วนของอาญา มีหลายข้อหาตามพฤติการณ์ตามที่แจ้งมา เบื้องต้นก็มีทำร้ายร่างกาย และในส่วนของผลตรวจที่ยืนยันครั้งแรกว่ามีผลเป็นบวก แต่ครั้งที่สองเป็นลบ และยังมาบอกว่าผู้เสียหายมียาเสพติด ซึ่งทางผู้เสียหายก็ได้ยืนยันแล้วว่า ไม่ใช่ก็ถือว่าเป็นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการที่ไปควบคุมตัวผู้เสียหาย ทั้งที่ตัวผู้เสียหายเองบอกว่าไม่ใช่ ซึ่งตรงนี้ก็กลายเป็นกักขังหน่วยเหนี่ยว ในเรื่องเสรีภาพและการข่มขู่ด้วย

ส่วนที่มีการเข้ามอบกระเช้าขอโทษนั้น ตรงนั้นก็ไม่เกี่ยวกัน มอบคือส่วนมอบ ส่วนเรื่องกฎหมายก็คือกฎหมาย เรื่องการดำเนินคดีเรื่องการใช้สิทธิของผู้เสียหายก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี เป็นการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะได้เข้าใจว่าการกระทำของตัวเองยังไม่รอบคอบ เหนืออื่นใดในวันนี้ก็ต้องใช้สิทธิตามกฎหมายก่อน แต่อยู่กับผู้เสียหายถ้ามีการเจรจาคุยกันได้ มีการเยียวยาหรือมีการขอโทษกัน ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะว่าต้องบอกว่าการแจ้งข้อกล่าวหา โดยที่ไม่ตรงกับพยานหลักฐาน มันเป็นเรื่องเสรีภาพของเขา มันไม่ควรที่จะเกิดขึ้น

นายไพศาล กล่าวว่า วันนี้ก็จะแจ้งดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรืออาสา ในส่วนตรงนี้จะต้องบอกก่อนว่าอาสาสมัครตำรวจ อยากให้มีการคัดกรอง เพราะเราเห็นทุกที่แล้ว เขาไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เขาเป็นแค่ผู้ช่วยเจ้าพนักงาน การกระทำใดๆ เขาจะต้องรู้กฎหมายมากกว่านี้ และรู้ขั้นตอนการจับกุมให้มากกว่านี้ การปฏิบัติหน้าที่ก็ควรอยู่ ในขณะที่เจ้าหน้าที่จริงๆ เขาอยู่ด้วย เพราะการกระทำแบบนี้ต้องเรียนอย่างนี้ว่า มันต้องนึกถึงอนาคตของทั้งสองฝ่ายตัวตำรวจเอง ถ้าผิดพลาดหรืออะไรคุณต้องรับผิดชอบให้ได้ ส่วนประชาชนถ้าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ถ้าเขาไม่ผิดมันหมายถึงเสรีภาพของเขา บางคนเขาเป็นเสาหลักของครอบครัว ก็อยากให้นึกถึงอนาคตของทั้งสองฝ่าย แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่เราก็ให้ความเป็นธรรมเขาตั้งด่าน เขาก็ตรวจจับยาเสพติด ดูจากพฤติการณ์แล้วอาจจะไม่รอบคอบหรือหละหลวม ซึ่งเขาก็อาจจะไม่มีเจตนาอย่างนั้นก็ได้ เพียงแต่วันนี้ท่านผู้กำกับเอง ก็แสดงแล้วว่าพร้อมที่จะจัดการขั้นเด็ดขาด และวันนี้ก็จะมีการพูดคุย ถ้าเหนืออื่นใดทางผู้เสียหายเขายอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือพี่สาว รวมถึงคุณฮาซัน ก็มีการพูดคุยกัน

นายไพศาล กล่าวว่า ส่วนเรื่องคดีมันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แค่เรื่องทำร้ายร่างกาย มีการพูดคุยกันได้ มีการเยียวยาก็จบ เพราะตำรวจกับประชาชนก็อยากให้อยู่ร่วมกันได้ เรื่องนี้ก็อยากให้เป็นอุทาหรณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านทำตามกฎหมาย ท่านทำการปราบปรามเหตุร้าย ให้ประชาชนก็เป็นเรื่องดี แต่ท่านควรมีความสามารถควรจะรู้กฎหมาย คือถ้ารู้ว่ามันไม่รอบคอบ อย่างละเอียดแล้วอย่าลุในอำนาจ เพราะถ้าลุในอำนาจเมื่อไหร่ ตัวท่านเองจะเป็นคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

“หลักๆ แล้วในวันนี้ก็จะมีแจ้งใน 4-5 ข้อหาจากพฤติการณ์ แล้วก็เป็นเรื่องทำร้ายร่างกาย อีกเรื่องก็น่าจะเป็นเรื่องผลตรวจ แล้วผลตรวจที่ตรวจแล้วไม่มี ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเรื่องการใส่กุญแจมือเขา ก็เป็นการเรื่องเสรีภาพ และอีกเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องหน่วยเหนี่ยวกักขังสุดท้าย ก็เป็นเรื่องข่มขู่ด้วยแต่สุดท้ายถ้าตกลงกันได้ทุกเรื่องก็จบ ก็ขอให้เป็นอุทาหรณ์ของสังคมซึ่งวันนี้ ก็ขึ้นอยู่กับท่านผู้กำกับแล้วเพราะทราบว่าในวันนี้จะมีการเชิญเข้าไปพูดคุย” นายไพศาล กล่าว

ด้านนายฮาซัน ผู้เสียหาย กล่าวว่า ทุกอย่างก็เป็นอย่างในคลิปที่ปรากฏ ตนก็ปฏิเสธว่า ไม่ได้เสพอะไรมา ซึ่งตนก็ได้ก้มกราบขอร้องเขาตั้งแต่ที่รถ เขาก็บอกว่าพบสารเสพติด ตนก็ก้มกราบเขา เขาก็ใช้เท้าเตะที่ใบหน้าตน และก็ปาซองที่ค้นเจอในรถใส่หน้าตน และก็ยืนยันได้ว่าซองที่พบเป็นสารการบูร ไม่ใช่สารเสพติด และตอนที่ถูกกระทำตนเองก็จำไม่ได้ พอมาเห็นคลิปจากสื่อทั้งตน และแม่ถึงกับน้ำตาไหลว่า ทำไมเราต้องไปอ้อนวอนเขาถึงขนาดนี้เลย และตนเองก็ยืนยันว่าไม่ได้หลบด่าน และไม่เห็นด้วยซ้ำว่า มีการตั้งด่านเพราะจุดที่ตนจอดรถอยู่ก็ไกล จู่ๆ มาเจอแบบนี้ก็รู้สึกตกใจมาก ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้มันเหมือนฝังอยู่ในใจ

ส่วนที่ว่าจะเอาอย่างไรเดี๋ยวก็ต้องมีการพูดคุยกัน หลังจากที่เมื่อวานนี้ (14 ม.ค.) ท่านผู้กำกับเข้าไปพูดคุยด้วยก็รู้สึกสบายใจขึ้นส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องมาตกลงคุยกัน และคนที่มาทำร้ายตนมีทั้งตำรวจและอาสา ตอนนี้ก็ยังไม่มีคำขอโทษจากคนที่จับกุมตนแต่อย่างใด มีแต่ท่านผู้กำกับคนเดียวที่เข้าไปขอโทษ มาวันนี้ตนก็อยากที่จะให้ตัวคนที่ทำร้ายตนมาพูดคุยด้วย

หลังจากนั้นทนายไพศาล ได้พาผู้เสียหาย และญาติเข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับพนักงานสอบสวน โดยมี พ.ต.อ.อาทิตย์  ซิ้มเจริญ ผกก.สภ.สำโรงเหนือ รอให้การต้อนรับพร้อมจัดทีมพนักงานสอบสวนไว้รอรับ โดย ผกก.สภ.สำโรงเหนือ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ ได้ยกมือไหว้ขอโทษผู้เสียหาย และญาติที่เดินทางมาในวันนี้ พร้อมกล่าวยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยไม่มีการเอนเอียงหรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง