เมื่อวันที่ 27 ม.ค. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. นำกำลังเปิดปฏิบัติตรวจค้นในพื้นที่ กทม. ปทุมธานี และสระแก้ว สามารถจับกุมผู้กระทำผิด 5 ราย​ เกี่ยวกับแก๊งรูดบัตรเครดิต ประกอบด้วย นางนิตยา อายุ 40 ปี น.ส.ชนิตา อายุ 57 ปี น.ส.ณัฏฐนันท์ อายุ 36 ปี นายไพบูลย์ อายุ 46 ปี และ​ น.ส.ฤทัย อายุ 39 ปี

สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณปลายเดือน​ ก.ค.64 ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ.ว่า มีกลุ่มคนร้ายร่วมกันฉ้อโกงธนาคารโดยใช้ข้อมูลบัตรเครดิตของผู้อื่นผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) ทำทีว่า มีนักท่องเที่ยวมาจองเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน​ จ.สระแก้ว จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบเป็นโรงแรมร้าง ปิดกิจการไปแล้วตั้งแต่ประมาณเดือน​ ก.พ.62 เป็นเหตุให้ธนาคารได้รับความเสียหายประมาณ 18 ล้านบาทเศษ ต่อมาชุดสืบสวนลงพื้นที่สืบสวนหาข้อเท็จจริงทราบว่า คือ โรงแรมทิพย์ปุระ ตั้งอยู่เลขที่ 90 ถนนเทศบาล​ 12 ต.สระแก้ว อ.เมืองสระแก้ว ปิดกิจการไปช่วงวิกฤติโควิด-19 ระบาดระลอกแรก

จากการสืบสวนตรวจสอบเส้นทางการเงินพบกลุ่มคนร้ายนำข้อมูลบัตรเครดิตของคนไทยและชาวต่างชาติหลายประเทศ นำข้อมูลเลขหน้าบัตรเครดิต และวันหมดอายุ คีย์ข้อมูลผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) 149 ครั้ง ในห้วงวันที่ 31 พ.ค.64 ถึงวันที่ 8 มิ.ย.64 เพื่อทำให้ธนาคารหลงเชื่อว่าธุรกรรมชำระค่าที่พักและบริการของโรงแรมจากเจ้าของบัตรจริง ทั้งที่โรงแรมปิดกิจการไปนานแล้ว

ต่อมาชุดสืบสวน กก.5 บก.ปอศ. นำกำลังปิดล้อมตรวจค้นเพื่อจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 5 คน ยึดของกลาง เครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) จำนวน 2 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 20 เล่ม โทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง บัตรอิเล็กทรอนิกส์ 1 ใบ คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง และเอกสารเกี่ยวกับคดี 30 แผ่น สอบสวนผู้ต้องหาบางส่วนรับสารภาพว่า มีนายหน้าที่คอยทำหน้าที่หาสำเนาพาสปอร์ต และเลขหน้าบัตรเครดิต วันเดือนปีหมดอายุ และรหัส 3 หลักหลังบัตร นำมาให้เพื่อใช้ทำธุรกรรมกับเครื่องรูดบัตรเครดิต (EDC) จากนั้นเมื่อธนาคารโอนเงินเข้ามาแล้วจะนำเงินที่ได้มาแบ่งผลประโยชน์กัน ตำรวจอยู่ระหว่างขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการที่เหลือต่อไป เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด ร่วมกันฉ้อโกง”