เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่ห้อง 5101 อาคาร AG05 คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี โชติษฐยางกูร คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พร้อมด้วย ดร.นรินทร์ ชมภูพวง อาจารย์ประจำสาขากีฏวิทยาและโรคพืชวิทยา คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับทีมวิจัยประกอบด้วย นายชวลิต ส่งแสงโชติ นักแมงมุมวิทยาจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายวุฒิไกร ใข่แก้ว นักวิชาการอิสระ และ นายทรงธรรม สิปปวัฒน์ หรือ “โจโฉ” ยูทูบเบอร์ชื่อดัง เป็นผู้ค้นพบบึ้งชนิดนี้ในขณะเดินป่าที่จังหวัดตาก หลังจากนั้นได้ทำการสำรวจเก็บตัวอย่างและศึกษาเพิ่มเติม ได้ร่วมกันแถลงข่าว บึ้งต้นไม้สกุลใหม่ของโลก Taksinusbambus “บึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสิน” ถูกค้นพบและตีพิมพ์ลงในวารสารวิจัยนานาชาติ Zookeys เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565
รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี โชติษฐยางกูร คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า งานแถลงข่าวการค้นพบบึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสินบึ้งสกุลใหม่ของโลก คณะเกษตรศาสตร์ มข.ได้ทราบว่าทีมนักวิจัยผู้ค้นพบบึ้งต้นไม้สกุลใหม่ของโลกท่านเป็นอาจารย์ประจำซึ่งปฏิบัติงานอยู่ ณ สาขาวิชากีฏวิทยาและโรคพืชวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ คือ ดร.นรินทร์ ชมภูพวง ผลงานวิจัยบึ้งพันธุ์ใหม่ที่ได้ค้นพบในครั้งนี้เป็นการค้นพบบึ้งสกุลใหม่ของเอเชียในรอบ 104 ปี และยังเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการค้นพบในประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นอย่างยิ่ง สถานที่ค้นพบบึ้งสกุลใหม่นี้ ทางคณะผู้วิจัยจึงเห็นควรตั้งชื่อสกุลว่า Taksinus เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” อีกทั้งการค้นพบนี้ยังเป็นค้นพบที่สำคัญของโลกดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของพระองค์ รวมถึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับเมืองตากหรือจังหวัดตาก สถานที่ค้นพบบึ้งสกุลใหม่นี้
ดร.นรินทร์ ชมภูพวง อาจารย์ประจำสาขากีฏวิทยาและโรคพืชวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า Taksinus bambus “บึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสิน” จัดจำแนกในวงศ์ย่อย Ornithoctoninae เป็นกลุ่มบึ้งในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบึ้งต้นไม้อยู่เพียง 4 สกุลคือ Omothymus, Lampropelma, Phormingochilus และ Melognathus โดยกระจายตัวอยู่ในแถบมาเลเซียสิงคโปร์ สุมาตรา บอร์เนียว อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์เท่านั้น สำหรับ Taksinusbambus “บึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสิน” ถูกค้นพบห่างไกลออกไปในทางพื้นที่ภูมิศาสตร์ทั้งหมดที่เคยถูกค้นพบมา โดยค้นพบในป่าไผ่บนภูเขาสูงกว่า 1,000 เมตร ในจังหวัดตาก ของประเทศไทย
Taksinus bambus “บึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสิน” แม้จะจัดอยู่ในกลุ่มบึ้งต้นไม้ แต่เป็นบึ้งชนิดแรกของโลกที่มีความจำเพาะกับต้นไม้โดยบึ้งชนิดนี้อาศัยดำรงชีวิตอยู่ภายในปล้องของต้นไผ่เท่านั้น มีนิเวศวิทยาเกี่ยวข้องกับต้นไผ่เอเชีย (Gigantochloa sp.) ขนาดของรูทางเข้าของบึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสิน มีขนาดตั้งแต่ประมาณ 2-3 เซนติเมตรไปจนถึงขนาดใหญ่ บึ้งเป็นสัตว์ไม่สามารถเจาะรูไม้ไผ่ได้เอง จากการศึกษาสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากสัตว์ฟันแทะเจาะเข้ามาใช้ประโยชน์ในการหาอาหารจากไผ่เพื่อกินหนอนที่อยู่ภายในรวมถึงอาจเกิดจากสัตว์อื่น ๆ เช่น แมลงที่เจาะเข้าไปหรือเกิดปริแตกตามธรรมชาติของต้นไผ่เอง รวมทั้งยังเกิดจากการกระทำของคนได้อีกด้วย บึ้งชนิดนี้จะอาศัยอยู่ภายในปล้องไผ่โดยสร้างใยปกคลุมล้อมรอบภายในปล้องและมักออกมาหาอาหารเป็นสัตว์ขนาดเล็กหรือแมลงในช่วงกลางคืน
จากการสำรวจพื้นที่โดยรอบไม่พบว่าบึ้งชนิดนี้อาศัยบนต้นไม้อื่นยกเว้นต้นไผ่ จึงถือได้ว่าเป็นบึ้งที่หายากที่สุดในประเทศไทย และการค้นพบนี้เป็นการค้นพบบึ้งสกุลแรกของเอเชียในรอบ 104 ปี หลังจากการค้นพบครั้งหลังสุดเมื่อปี ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) และนับได้ว่าเป็นบึ้งสกุลแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ถูกค้นพบและวิจัยโดยคนไทย อีกทั้งยังได้รับเกียรติในการนำรูปของบึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสินขึ้นปกวารสารทางวิทยาศาสตร์ Zookeys ฉบับที่ 1080 ในปี 2022 วารสารทางด้านสัตววิทยาที่มีชื่อเสียงถูกจัดอยู่ในระดับควอไทล์ที่ 1 ลักษณะสำคัญในการจำแนกบึ้งสกุล Taksinus มีลักษณะแตกต่างจากบึ้งต้นไม้ในสกุลอื่นๆ คือลักษณะของอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ที่สั้นและความชันของส่วนปลายน้อยกว่าบึ้งต้นไม้ในสกุลอื่นที่พบทั้งหมด รวมทั้งบึ้งสกุลนี้ยังมีขนาดเล็กกว่าบึ้งต้นไม้ในสกุลอื่น ๆ อีกด้วย
ถึงแม้ว่าการค้นพบ “บึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสิน” ในพื้นที่ห่างไกลและเข้าถึงยากและมีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่สำหรับการทำเกษตรของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงเพียงเล็กน้อย สำหรับในปัจจุบันพื้นที่ป่าในประเทศไทยเหลืออยู่เพียง 31% เท่านั้น หากในอนาคตพื้นที่ป่าลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องไม่มีการจัดการการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าและทรัพยากรป่าไม้ “บึ้งปล้องไผ่พระเจ้าตากสิน” ก็เป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ อันเนื่องมาจากลักษณะการดำรงชีวิตผูกติดกับป่าไผ่ และสามารถพบได้บนพื้นที่เขาสูงในภาคเหนือของประเทศไทยเท่านั้น ดังนั้นทางคณะผู้วิจัยจึงความมุ่งหวังในการศึกษาสัตว์เหล่านี้เพื่อให้เป็นที่รู้จักนำไปสู่การศึกษาด้านอื่น ๆ เช่น ชีววิทยา นิเวศวิทยา หรือการเพาะเลี้ยงต่อยอดในอนาคตเพื่อหาแนวทางอนุรักษ์ไม่ให้ที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้สูญพันธุ์.