วันที่ 21 ก.ค. นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีและโฆษกอัยการปราบปรามทุจริตภาค 9 ให้ความเห็นกรณีพบศพนอนตายกลางถนนนานนับ 10 ชั่วโมงว่า เมื่อประชาชนแจ้งเจ้าหน้าที่แล้วก็ไม่มีใครมาเก็บศพหรือไม่มีใครมาตรวจสอบทำให้เกิดความสะเทือนใจ เกิดความไม่สบายใจและไม่รู้ว่าเป็นหน้าที่ของใคร ประชาชนผู้พบเห็น หรือบ้านอยู่แถวนั้นควรต้องทำอย่างไร มีกฎหมายให้ต้องปฏิบัติอย่างไร ตามกฎหมาย ป.วิอาญา โดยมาตรา 149 วรรค 2 บัญญัติว่าให้เป็นหน้าที่ของบุคคลใดก็ได้ที่พบศพหรือประชาชนทั่วไปให้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ก่อน คือแจ้งไปยังสถานีตำรวจในพื้นที่ เพื่อตรวจดูศพเบื้องต้น

สลด!โควิดคร่าชีวิตราวใบไม้ร่วง 5ศพในเวลาไล่เลี่ย รอไม่ไหวดับอีกเพียบ

โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาการชันสูตรพลิกศพผู้ใดละเลยไม่กระทำหน้าที่ดังบัญญัติไว้ในมาตรานี้ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท จากนั้นในมาตรา 148 เมื่อปรากฏแน่ชัด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือ ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ให้มีการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งสำหรับการตายปิดธรรมชาติ ได้แก่ 1.ฆ่าตัวตาย 2.ถูกผู้อื่นทำให้ตาย 3.ถูกสัตว์ทำร้ายตาย 4.ตายโดยอุบัติเหตุ 5.ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ

เมื่อมีผู้ถามว่าเป็นหน้าที่ใครที่ต้องไปเก็บศพในกฎหมายระบุตามมาตรา 149 (2) ระบุว่าให้ไปแจ้งความแก่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจโดยเร็วที่สุด จึงเห็นได้ว่ากฎหมายประสงค์ให้เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นเจ้าภาพหรือแม่งานในการดูแลศพ ให้เป็นไปตามกฏหมายต่อไป หากมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยปกติก็จะประสานมูลนิธิต่างๆ เข้ามาช่วยเก็บและนำส่งโรงพยาบาลเพื่อชันสูตร ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดต่อไปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงควรตระหนักรู้ และสนับสนุนการเก็บศพให้กับพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องรับภาระแจ้งเหตุพบผู้ตายตามถนนสาธารณะมากขึ้น หน้าที่ต้องมากับการสนับสนุนทั้งบุคลากรชุดป้องกันโรค และงบประมาณ ให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่กันด้วย

ทั้งนี้ในมาตรา 149 ระบุว่าความตายผิดธรรมชาตินั้น เกิดขึ้นที่ใด เป็นหน้าที่ของสามี ภริยา ญาติ มิตร สหายหรือผู้ปกครองของผู้ตายที่รู้เรื่องต้องการโดย เก็บศพไว้ ณ ที่ซึ่งพบนั้นเองเพียงเท่าที่จะทำได้ หรือไปแจ้งความแก่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจโดยเร็วที่สุด หน้าที่ดังกล่าวในวรรคต้นนั้นมีตลอดถึงผู้อื่น ซึ่งได้พบศพในที่ซึ่งไม่มีสามีภริยา ญาติ มิตร สหาย หรือผู้ปกครองของผู้ตายอยู่ในที่นั้นด้วย

เทศกิจแจงจำต้องปล่อยศพทิ้งกลางถนน เหตุเพราะมีรถขนคันเดียว!

สุดท้ายในมาตรา 150 กรณีที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่กับ แพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ซึ่งได้รับวุฒิบัตรหรือได้รับหนังสืออนุมัติจากแพทยสภา ทำการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ ให้พนักงาน สอบสวนและแพทย์ดังกล่าวทำบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพส่งไปยังพนักงานอัยการโดยเร็ว

อย่างไรก็ตามหากมีการพบว่าศพดังกล่าวสงสัยจะติดเชื้อโควิด ทางกระทรวงสาธารณสุขออกแนวทางปฏิบัติการจัดการศพว่า การติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้วเสียชีวิต ถือเป็นการตายโดยธรรมชาติ เจ็บป่วยตายไม่จําเป็นต้องมีการชันสูตรพลิกศพตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เว้นแต่หากเป็นการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน เช่น การเสียชีวิตในห้องขัง ให้มีการชันสูตรพลิกศพ แต่อาจไม่จําเป็นต้องมีการผ่าชันสูตรศพ เพราะตายจากการติดเชื้อโควิด ถ้าผลแห่งการตายไม่ได้ตายเพราะถูกฆาตกรรมก็ต้องแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดทราบเพื่อยุติคดีต่อไป

โดยการจัดการศพเบื้องต้นในสถานที่พบศพ (ก่อนยืนยันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา) นิยามศพที่ต้องทําการสอบสวนโรค 1. เสียชีวิตโดยมิปรากฏเหตุและมีประวัติมาจากพื้นที่เสี่ยง (นอกสถานพยาบาล) 2. เสียชีวิตด้วยโรคปอดอักเสบรุนแรงเฉียบพลันโดยไม่ทราบเชื้อสาเหตุ (ในสถานพยาบาล) กรณีพบศพนอกสถานพยาบาล หากสงสัยว่าศพอาจมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ให้ผู้พบศพแจ้งไปยังแพทย์นิติเวช ซึ่งแพทย์นิติเวชออกชันสูตรเบื้องต้น ใส่ PPE สอบถามประวัติและบันทึกภาพ สถานที่พบศพโดยละเอียด

เมื่อพิจารณาแล้วว่าเข้านิยามศพที่ต้องทําการสอบสวนโรค ประสานเจ้าหน้าที่ เคลื่อนย้ายศพมา ณ สถานพยาบาลที่สามารถเก็บตัวอย่างจากศพได้ โดยให้ทีมสอบสวนโรคลงพื้นที่ที่สถานพยาบาลเพื่อทําการเก็บตัวอย่างพร้อมให้ปิดกั้นพื้นที่สถานที่พบศพ ห้ามบุคคลอื่นเข้าไปโดยเด็ดขาด จนกว่าจะได้รับผลการตรวจยืนยันเชื้อ  กรณีตรวจยืนยันเชื้อ พบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา ให้งดการผ่าตรวจศพหรือสัมผัสศพติดป้ายสีแดงระบุชื่อหรือหมายเลขศพพร้อมระบุว่าติดเชื้อกลุ่มโคโรนา สามารถเคลื่อนย้ายประกอบพิธีทางศาสนากําจัดศพโดยการเผาศพและการฝังศพได้โดยห้ามเปิดถุงเก็บศพโดย เด็ดขาด แต่กรณีตรวจยืนยันเชื้อ พบว่าไม่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา การเก็บศพ การทําความสะอาดหรือการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ให้ดําเนินการเหมือนศพปกติทั่วไป โดยยึดหลักการควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของโรค