เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี กลุ่มผู้เสียหาย จำนวน 16 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ฐิตนนท์ วิชัยกุลจิรทัพ ผกก.(สอบสวน) บก.สอท.5 เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.พลอยชนก (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี พนักงานบริษัทจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ ย่านดอนเมือง หลอกให้ร่วมลงทุนชุดตรวจโควิด ATK มูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท พร้อมนำหลักฐานการแชต และสลิปการโอนเงิน มามอบให้เป็นหลักฐาน

น.ส.นิว อายุ 41 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่ง กล่าวว่า วันนี้ตนมาเป็นตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย โดยทุกคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทุกคนเป็นเพื่อนกับตัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งทำงานที่บริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์แห่งหนึ่งที่อยู่ย่านดอนเมือง จากนั้นตัวผู้ก่อเหตุเองได้มีการชักชวนให้ร่วมลงทุนในการขายชุดตรวจ ATK ที่บริษัทตนเองขายอยู่ด้วย ทุกคนที่ถูกหลอกเห็นว่าผู้ก่อเหตุทำงานที่บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่งจริง ประกอบกับความไว้ใจที่เป็นเพื่อนกันมานาน จึงตัดสินใจที่จะร่วมลงทุน โดยแต่ละคนจะมีการลงทุนทุกครั้งไม่เท่ากัน รวมถึงยอดที่ลงทุนก็จะไม่เท่ากัน เริ่มตั้งแต่ 600,000 ถึง 2,500,000 บาท ซึ่งเป็นการลงทุนสั่งชุดตรวจมาขายให้ลูกค้าที่ผู้ก่อเหตุมีฐานอยู่แล้ว โดยตนไม่ได้เอาออกมาขายเอง ที่ผ่านมาการลงทุนแต่ละครั้ง จะเป็นการลงทุนผ่านผู้ก่อเหตุเท่านั้น ซึ่งจะมีการถ่ายภาพสินค้าส่งมาให้ดู ประกอบกับผู้เสียหายบางคนเคยไปที่บริษัทและได้เห็นสินค้าจริงตามที่ผู้ก่อเหตุกล่าวอ้าง แต่ไม่เคยเข้าไปในบริษัท ในส่วนของตนเองนั้น สูญเงินไปกว่า 235,000 บาท

ขณะที่ นายปิง อายุ 36 ปี ผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุได้ชักชวนตนให้ร่วมลงทุนชุดตรวจ ATK ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเป็นการลงทุน แบ่งผลกำไรกลับมา 20-30 เปอร์เซ็นต์ ในวันถัดไป การลงทุนของผู้เสียหายทุกคนจะเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ก่อเหตุโดยตรง และครั้งสุดท้ายได้ลงทุนไปเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ซึ่งผู้ก่อเหตุระบุว่า จะมีการคืนเงินทั้งหมดรวมผลกำไรที่ได้ในวันที่ 16 ก.พ. กระทั่งวันที่ 17 ก.พ. ก็ไม่สามารถติดต่อกับผู้ก่อเหตุได้ ที่ผ่านมาตนเคยได้ตัวอย่างสินค้าจากผู้ก่อเหตุมาทดลองใช้ รวมถึงเคยไปที่บริษัทที่ผู้ก่อเหตุทำงานอยู่เพื่อซื้อสินค้ามาใช้เอง ตนจึงหลงเชื่อ

ด้าน พ.ต.อ.ฐิตนนท์ กล่าวว่า เบื้องต้นจะรับเรื่องไว้พิจารณา และมอบหมายให้พนักงานสอบสวนติดตามตัวผู้ก่อเหตุ รวมถึงประสานไปยังพนักงานสอบสวนของแต่ละท้องที่ ที่ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้ โดยเบื้องต้นพบว่าผู้ก่อเหตุมีการพูดคุยกับผู้เสียหายส่วนตัว จะเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนหรือไม่นั้น ต้องขอดูในรายละเอียดอีกครั้ง แต่ในเบื้องต้นเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง.