เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนโลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องราวจากสมาชิกผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งใช้ชื่อว่า Rachaya Noppakaroon ซึ่งเป็นของ มิก-รชยา นพการุณ รองอันดับ 1 Miss Tiffany 2014 โดยได้ออกมาโพสต์ข้อความสุดเศร้าระบุว่า

“ฝันร้ายในขณะลืมตา เราตั้งใจมากที่จะได้ไปแสดง ที่งาน expo ที่ดูไบ ขอบคุณโอกาสจาก กกท.และพี่กำปั้น เอกสารสำคัญเราครบ

  • พาสปอร์ต
  • วีซ่า
  • ใบจองโรงแรม
  • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
  • ใบวัคซีน
  • ตั๋วเข้างาน expo (เพื่อแสดง)
  • ใบรับรองจาก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)
  • ใบจองโรงแรมกักตัวที่ไทย
  • ใบต่างๆ ครบ

เราไปกับทีมประมาณ 14 คน ถึงแล้วประเทศที่เราอยากมา อยากเสพความรวย เวลา14.14 น. เราติดตม.ดูไบ เขาให้เราไปที่ห้องๆหนึ่ง แล้วขอพาสปอร์ตไปแล้วถามว่าทำไมถึงเป็น ผช. (เราไม่แต่งหน้ารวบผมเรียบร้อยแต่งตัวสุภาพ ตามพาสตามวี 100%) เรานั่งรอประมาณ 2 ชม.แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักมีพนักงาน ผช. เดินมาเรียกเราขึ้นไปออฟฟิศ (เขาสุภาพพูดจาดี เราชวนเขาคุย เพื่อคลายกังวล) เรานั่งรอที่ออฟฟิศสักพัก เพราะเป็นเวลาที่เขาละหมาดกัน

เราก็คิดว่าแค่แป๊บเดียว ก็ละหมาดแป๊บเดียวจริงๆ แหละ แต่พนักงานห้องสัมภาษณ์ไม่มาสักที จนพนักงานส่วนอื่นๆ มาเดินมองเราและมองเข้าห้องสัมภาษณ์ประมานว่า พนง.สัมภาษณ์ไปไหนว่ะ!! ไม่มาสัมภาษณ์สักที (ที่รู้เพราะพี่เขาถอนหายใจและสีหน้าพี่เขาชัดเจนมาก)

สักพักพี่พนักงานที่ถอนหายใจเป็น ผช.เอเชีย เดินมาถามเราว่า พนักงานข้างล่างให้คุณถอดเสื้อผ้าไหม เขาบอกว่าเขาไม่เห็นด้วย ถ้าพวกนั้นให้เราถอด เขาบอกเขาเข้าใจเรามาก เขารู้ว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร จังหวะนี้คือน้ำตาเราไหลออกมาเลย เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แล้วขอบคุณที่ในบรรยากาศแย่ๆเช่นนี้ยังมีคนเข้าใจเรา เขาบอกเราว่า อยู่กับเขาตรงนี้แหละดีแล้ว และถามว่าเอาทิซชูไหม คงเห็นเราร้องไห้ และเอาแก้วน้ำมาให้

เรารอจนถึง 18.30 น. (ผ่านไป 4 ชม.) เราได้เข้าห้องสัมภาษณ์ พี่คนนึงใจดี พี่คนนึงเหมือนใจร้าย (พนง.เป็นผช.หมด ไม่มีผญ.สักคน) เขาพูดเสียงดังมาก แต่เราไม่กลัวหรอก เราตอบตามจริง เราเปิดคลิปซ้อมงานให้ดู เราเปิดผลงานที่ไทยให้ดูว่าเรามีตัวตนนะ แต่เขาไม่ค่อยสนใจและสนใจเรื่องเพศมากกว่า เขาถามว่าทำหมดหรือยัง เราตอบหมดแล้ว เขาถามว่านมเราใหญ่หรือเล็ก เราก็ตอบเท่าที่จะตอบได้ เราตอบด้วยความไม่กลัวอะไรเลย เพราะเรามาทำสิ่งที่เรารักจริงๆ เราเห็นภาพตัวเองอยู่บนเวทีงาน expo แล้ว มาลุ้นกันว่า เราจะได้เข้าประเทศเขาได้ไหม

19:00 น. เขาเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์อีก 1 รอบ แล้วถามว่า ทำไมถึงตัด (เอ้า!!) ก็ตอบไป เราเชื่อว่าเราเป็น ผญ.มาตั้งแต่เกิด บลาๆ สักพักน้ำตามาอีก เหมือนพนักงานคนใจดีเข้าใจเรานะ แล้วก็ถามว่ามีลูกได้ไหม เขาคงไม่รู้จริงๆ แหละ พี่คนเสียงดังเขาพูดอะไรสักอย่าง แล้วเขาบอกว่า คุณไปรอห้อง ผช.ก่อน เพราะคุณเป็น ผช. เราแม่งน้ำตาตกในมาก แต่ยิ้มสู้ นางบอกว่าคุณเข้าใจทางเราด้วยนะ ที่นี่มุสลิม คุณต้องไปอยู่ห้อง ผช.ก่อน

ระหว่างเดินเข้าห้องพักผช. เราเดินไปถามย้ำพี่พนักงานเอเชีย ผช.คนนั้นอีก 1 ครั้ง เพื่อความแน่ใจ ว่าเราต้องอยู่ห้องนี้จริงๆ ใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ ด้วยสีหน้าเห็นใจ พอเดินเข้า ก็มีนักท่องเที่ยวที่โดนกักตัวเดินมาจับแขนเราแล้วบอกว่า ห้องผญ.ไปทางขวา เราต้องตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอว่า เขาบอกว่า เรายังเป็น ผช.อยู่ (เศร้านะ)

19.22 น. พี่พนักงานเอเชียคนเดิมเดินเข้ามากระซิบเราว่าโอเคไหมอยู่ในห้องนี้ เราบอกตามตรงเราไม่โอเค น้ำตามาอีก 1 เขาพาเราออกมาหาที่นั่งหน้าห้อง แล้วหาเก้าอี้มาให้ เราขอบคุณพี่เขามากจริงๆ เขาบอกเรียกเขาได้ตลอด 23.30 น. (ผ่านไป 9 ชม.) สรุปเราเข้าไม่ได้

เขาบอกเราว่า จะส่งกลับไทย (เข้าใจอารมณ์หูดับ ใจหล่นไหมค่ะ ใช่เลย) เหตุผลเพราะเราเป็น ผญ. แต่พาสเป็น ผช. เขาบอกให้เข้าได้นะ แต่กลับไปแก้พาสให้เป็น Miss กับ Female ก่อน (ไงดีค่ะพี่ยุทธ์? หนูต้องทำไง) เราร้องไห้แทบตลอดเวลา นั่งคนเดียว ไม่มีเพื่อน ท่ามกลางพนักงาน ผช.ทั้งหมด เราได้ตั๋วกลับไทย 03.00 น. ของอีกวัน (ไม่ใช่ตี 3 ที่จะถึงนะ ตี 3 ของอีกวัน) ระหว่างนั้นเขาพาเราไปตรวจ RT-PCR และเขาให้ตั๋วทานข้าวเรามา เราสามารถเดินไปเลือกทานเลย (ก็เดินร้องไห้ให้คนงงไปเลยค่ะ ร้องเลยไม่อาย ไม่มีใครรู้จัก)

พอเราทานอาหารเสร็จ เขาเดินมาบอกว่าเขาเลื่อนตั๋วให้บิน 10.00 น. นะ เราดีใจมากได้กลับไปหาแม่เร็วขึ้น แต่ความยากที่ตามมาคือ เราต้องรีบหาโรงแรมกักตัว ซึ่งกระชั้นชิดมาก (เพราะโดนส่งกลับกะทันหัน) แต่ในใจตอนนั้นคือ ฉันขอเหยียบแผ่นดินไทยก่อน กักที่ไหนก็ได้ ที่มีผีจะสกปรกอย่างไรก็จะทน ทางพี่ๆ กกท.ก็ช่วยเต็มที่ ไม่ได้นอนกันเลย และมีพนักงานชายคนนึงเป็นคนอินเดีย เขาเทคแคร์ฟิวเรามาก เดินมาหาเป็นพักๆ พร้อมพูดว่า can’t cry เขาพยายามช่วย วิ่งเต้นเรื่องผลตรวจ pcr และระหว่างนั้นเราต้องรีบจองรร.เพื่อกักตัว ต้องมีเอกสารจองกักตัว ตั๋วบินถึงออกได้

เวลาผ่านไปช้ามาก นั่งที่เดิม หลับ 10 นาที ตื่นมาร้องไห้ครึ่ง ชม. หลับได้อีก 15 นาที ตื่นมาดูนาฬิกา วนลูปอยู่แบบนี้ จนได้ยินเสียง Rachaya come (เขาเรียกเราแล้ว) 09.00 น. (ผ่านไป 19 ชม.) ได้เวลาขึ้นเครื่อง เขาให้เราเดินตามเขาไปยังเครื่องบิน โดยไม่ให้เราจับพาสปอร์ตและส่งไม้ต่อให้แอร์บนเครื่องพาเราไปนั่ง แต่ก็ยังไม่ได้จับพาสอยู่ดี พี่แอร์บอกว่า เราจะเก็บพาสไว้และถึงไทยจะมีน้องมาดูแลอีกที อุ่นใจขึ้นมาหน่อย หลับเต็มอิ่ม ข้าวบนเครื่องไม่ได้อร่อยมาก แต่กินเกือบหมดเพราะร่างกายขาดอาหารมานาน

19:15 น. ล้อแตะพื้นแผ่นดินไทย พร้อมน้ำตา หลังเครื่องจอดมีพี่แอร์กราวด์ ผญ.มาดูแลต่อ เป็นคนไทยคนแรกที่เราร้องไห้ด้วย ระบายทุกอย่าง พี่เขาเทคแคร์เราดีมาก พาไปทำเอกสาร test&go พาเดินไปห้องตร.ห้องลึกลับเหมือนในหนัง (คนโดนส่งกลับต้องไปห้องพิเศษ เผื่ออธิบายเหตุผลที่โดนส่งกลับ) หลังจากนั้น เราก็ไปที่ประตูทางออก และขึ้นรถโรงแรมที่พี่ทาง กกท. จากหาให้เผื่อไปกักตัว ระหว่างทางต้องแวะตรวจ pcr เราเจอแมวจร 1 ตัว เราก็แวะร้องไห้ก็แมว แล้วขอพลังจากน้อง (คิดถึงแมวที่บ้านมาก)

ถึงโรงแรมกักตัว อาบน้ำ นอน ตื่น กลับบ้าน ปิดเครื่อง กราบเท้าแม่ ปลูกต้น เล่นกับแมว อยู่กับตัวเองเป็นอาทิตย์ แต่เมื่อวานเห็นเครื่องบินยังนั่งร้องไห้อยู่เลย คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก ขอบคุณผู้ใหญ่ทาง กกท.ที่ให้โอกาส และ ขอโทษพี่กำปั้น พี่หลง พี่นะ ที่ต้องนั่งรอ ทำให้เสียเวลา และกังวลใจ

เรื่องนี้เราไม่โทษพนักงานดูไบเลย (แต่โกรธ) เราโทษ กฎหมายไทย ถ้าเค้าก้มลงมามองเรื่องที่เราและหลายๆคนต้องเจอปัญหาแบบเรา หวังว่าเขาจะมองว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขสักทีนะ #ยิ้มให้คนทั้งโลกร้องไห้กับตัวเอง #Dubai”..

ขอบคุณภาพประกอบ : Rachaya Noppakaroon