ย้อนกลับไป 3 เดือนที่แล้ว หลังพิธีศพของ อัพ-กุลทรัพย์ วัฒนผล อดีตนักกีฬา E-Sports และหัวหน้าแคลน VGB (Vagabond Team) ที่ต้องเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในที่พักของตนเองจากโควิด-19 จากการที่ไม่สามารถติดต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรักษาได้ และต้องนอนรอคอยเตียงรักษาจากโรงพยาบาล จนที่สุดก็ต้องเสียชีวิตลงไปในแบบที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แน่นอนว่านอกจากความเศร้าที่ห่มคลุมครอบครัว คนใกล้ชิด และคนที่ได้ติดตามเรื่องราวนี้แล้ว ยังเขย่าหัวใจใครหลายคนให้รู้สึกคับข้องใจ เพราะไม่ใช่จะมีแค่กรณีของอัพ-กุลทรัพย์ เท่านั้น แต่กลับเกิดกรณีลักษณะนี้ขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันอีกหลาย ๆ กรณี ที่ดูสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับคนบางกลุ่มที่ดูเหมือนจะได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าคนไทยอีกหลายคน

อัพ-กุลทรัพย์ วัฒนผล เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว

เรื่องนี้ได้กลายมาเป็นแรงผลักดันทำให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มประชาชนอาสาภายใต้ชื่อ “กลุ่มเส้นด้าย” ขึ้นเมื่อวันที่ 27 เม.ย.2564 หรือหลังพิธีศพของอัพ-กุลทรัพย์ เพียงแค่ 2 วันขึ้นมา เพื่อเป็น “เส้นให้กับคนที่ไม่มีเส้น” ในสังคมไทย โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น เส้นด้ายก็จะแยกย้ายสลายตัวกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน โดยไม่มีใครคาดคิดเลยว่า…ด้ายเส้นนี้จะถักทอต่อมายาวนานขนาดนี้

ภูวกร ศรีเนียนคริส โปตระนันทน์ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเส้นด้าย

สถานการณ์วันนี้ไปไกลกว่าที่คิด
“วันนี้กับวันนั้นสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากอย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ประเทศไทยจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ ตอนนั้นเส้นด้ายเกิดขึ้นเพราะต้องการเป็นคนทำหน้าที่จับซ้ายให้มาเจอขวา จับขวาให้มาเจอซ้ายเท่านั้น เนื่องจากวันนั้น เตียงไม่เต็ม รถไม่เต็ม แต่คนไข้กลับหาเตียงไม่เจอ หารถไม่เจอ ทั้งที่ตอนนั้นระบบสาธารณสุขทุกอย่างยังโอเคดีหมด วันนั้นเส้นด้ายก็เลยเกิดขึ้นมาเพราะอยากจะเป็นตัวประสานเรื่องนี้ให้ เพราะวันนั้นทรัพยากรทุกอย่างยังมีพร้อม แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้สองฝั่ง มันไม่ได้มาเจอกัน”

คริส โปตระนันทน์

คริส โปตระนันทน์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเส้นด้าย จั่วหัวเรื่องนี้ไว้ เขาบอกว่า ในวันนั้น เส้นด้ายแค่จับรถที่ไม่ได้ใช้มาทำเป็นรถขนส่งคนไข้ให้กับคนที่ไม่สามารถหารถไปส่งที่โรงพยาบาลได้ หรือแค่เอาโทรศัพท์ที่ไม่ได้ใช้งานมาทำเป็นคอลเซ็นเตอร์ เพื่อช่วยรับเรื่องจากประชาชนและประสานงานกับโรงพยาบาล เพื่อให้เขาได้เข้ารับการรักษา แต่ไม่ใช่กับสถานการณ์วันนี้ ที่เปลี่ยนไปจากวันนั้นค่อนข้างมาก ซึ่งวันนี้เตียงคนไข้เต็มหมดแล้ว ทั้งสีเขียว สีเหลือ และสีแดง คริส สมาชิกกลุ่มเส้นด้ายฉายภาพสถานการณ์วันนี้ที่เปลี่ยนไป พร้อมกับระบุว่า วันนี้ต้องยอมรับว่า ระบบสาธารณสุขล้นจริง ๆ ชนิดที่ไม่มี รพ.ไหนที่ยังมีเตียงว่างอยู่เลย สวนทางกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลัก 13,000-14,000 คนต่อวัน ซึ่งสำหรับเขามองว่า ตัวเลขที่ประกาศนี้ น่าจะน้อยเกินไปกับสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ที่ตัวเลขจริง ๆ ต่อวันน่าจะมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20,000 คนเป็นอย่างน้อย และมีโอกาสที่จะไต่พุ่งขึ้นไปถึงหลัก 3-4 หมื่นคนในอนาคต

รถตรวจปอดดึงคนเข้าสู่ระบบรักษา
จากสถานการณ์น่าหวาดกลัวข้างต้น คริส บอกว่า ยิ่งถ้าเราไม่ทำอะไรกันเลย เขาคิดว่าตัวเลขนี้ไปถึงอย่างแน่นอน ซึ่งเส้นด้ายทุกคนได้คุยกันว่า ทุกคนจะพยายามเพื่อไม่ให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ ทำให้ตอนนี้จึงทำโปรเจคท์ขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเชิงรุกในชุมชน เอาแบบทั้งชุมชนจริง ๆ เลย ไม่เหมือนกับของภาครัฐ ที่บอกว่าตรวจเชิงรุกในชุมชน แต่กลับมีการจำกัดคิว แต่ของเราที่คิดไว้คือ ถ้าจะตรวจก็ตรวจให้คลีนทุกคนเลย ใครเป็นจะได้รู้ จะได้แยกตัวออกมาเลย รวมถึงการจัดทำ “โครงการรถตรวจปอด” ซึ่งสาเหตุที่ทำเรื่องนี้เพราะกลุ่มเส้นด้ายเห็นว่าระบบที่มีอยู่ ไม่รองรับตอบโจทย์กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ก็เลยนำรถเอกซเรย์ออกมาให้บริการกับประชาชน เพื่อถ่ายรูปเอกซเรย์ให้กับทุกคน ซึ่งข้อดีของวิธีนี้คือสามารถตรวจเชิงรุกผู้ติดเชื้อได้เร็วมากขึ้น เพราะใช้เวลาต่อไม่นาน แถมค่าใช้จ่ายไม่สูง เพื่อที่อย่างน้อยจะได้รู้ว่าใครติดเชื้อแล้ว  เพราะตอนนี้แค่รู้ว่าใครติดเชื้อไม่พอ แต่ต้องรู้ว่าใครบ้างที่เชื้อเริ่มลงปอดแล้วด้วย

รถเอ็กซ์เรย์

“ผมไม่รู้ว่าทุกคนรู้หรือไม่ว่า ผู้ป่วยที่ลงทะเบียน Home Isolation นี่ จำนวนมากไม่ได้รับการเอกซเรย์นะ แล้วเรื่องของผลการตรวจแบบ RT-PCR นี่ก็ยังเป็นปัญหามาก เพราะคนเข้าไม่ถึง เพราะมันมีจำกัด ก็เลยทำให้แม้จะมีผลตรวจ Rapid Antigen Test ก็ยังเข้ารับการรักษามาได้ เพราะเขาบอกว่ามันไม่มาตรฐาน ที่สุดคนก็ต้องไปดิ้นรนต่ออยู่ดี ซึ่งกว่าจะหาตรวจได้ 3-4 วัน รอผลตรวจอีก 3-4 วัน ป่านนั้นเชื้อมันลงปอดไปหมดแล้ว มันไม่ทันการ เราก็เลยมีรถตรวจปอด เพื่อที่จะเอาผลนี้ให้ประชาชนนำไปใช้เพื่อให้มีน้ำหนักมากขึ้น” คริสเล่าถึงโปรเจคท์ใหม่โปรเจคท์นี้ของเส้นด้าย

ภูวกร ศรีเนียน

ปัญหายิ่งซับซ้อน-กฎยิ่งต้องเรียบง่าย
ด้าน ภูวกร ศรีเนียน ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเส้นด้ายอีกคน เสริมเรื่องนี้ว่า เรื่องผลตรวจ RT-PCR นี้เป็นปัญหามากในขณะนี้ และสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาจากกลไกที่รัฐใช้อยู่ ที่ทั้งเพิ่มความลำบากให้กับคน ทั้งทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนมากขึ้น แถมยังไม่ทันกับสถานการณ์ที่พัฒนาไปเร็วมากทุกวันอีกด้วย โดย ภูวกร ย้ำว่า สิ่งที่อยากฝากไปถึงเจ้าภาพที่มีหน้าที่ดูแลประชาชนมาก ๆ คือ ความตั้งใจในการดูแลประชาชน โดยขอวิงวอนไว้เลยว่า ระเบียบไม่ได้สำคัญไปกว่าความตาย ถ้าหากต้องรักษาระเบียบแล้ว ทำให้คนตาย ขอให้ก้าวข้ามระเบียบเหล่านั้นไปเถอะ ซึ่งนาทีนี้เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะในขณะที่มีคนตายเพิ่มขึ้นทุกวัน มีคนตายตามถนน มีคนนอนจมกองปัสสาวะและอุจจาระตาย แต่เวลานี้เรามัวมาแต่เถียงกันเรื่องผลตรวจมาตรฐานไม่มาตรฐาน ซึ่งกลายเป็นว่าคนป่วยจะได้เข้าระบบหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่อาการป่วย แต่กลับอยู่ที่มีผลตรวจมาตรฐานที่ราชการรองรับหรือไม่มีเท่านั้น ซึ่งสถานการณ์จริงเวลานี้ มันหาได้ยากมาก นั่นก็เลยทำให้ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่แม้อาการจะเปลี่ยนจากกลุ่มสีเหลืองตกค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มเหล่านี้รอเวลาไปเป็นกลุ่มผู้ป่วยสีแดง ถ้าไม่ได้ถูกดึงเข้าไปสู่ระบบในเร็ววัน

ผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

“ไม่ควรมีใครต้องตายเพราะระบบอีกแล้ว และไม่ควรต้องมีใครนอนรอวันตาย ทั้งที่มันยังมีวิธีการอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าจะพอช่วยเขาได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้กลุ่มเส้นด้ายทำรถตรวจปอดขึ้น เพราะสนามตรวจของรัฐที่มีอยู่มันน้อยจริง ๆ  อย่างน้อยก็ช่วยให้คนที่มีผลตรวจ Antigen test แต่ไม่มีผลตรวจอื่น มีผลเอกซเรย์ปอดไปใช้ยื่นกำกับเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้เขาถูกดึงเข้าสู่ระบบการรักษาที่ดีเพียงพอ หรือไม่ก็อย่างน้อย รถตรวจปอดนี้น่าจะช่วยทำให้คำถามของเราดังขึ้ไปสู่สังคมว่า อันนี้มากพอที่จะพิจารณาได้หรือยัง เพื่อเอาเขาเข้าระบบได้เสียที ผมมองว่าตอนนี้คนไทยเหมือนอยู่ในสถานการณ์เขื่อนแตก ใครแข็งแรงก็พยุงคอลอยไป ส่วนใครไม่ไหวก็ต้องจมลงไปใต้น้ำ ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงวันนี้ อีก 3 เดือนข้างหน้าจะเลวร้ายกว่านี้มาก” ภูวกร ย้ำเรื่องนี้

“ศูนย์รอยต่อ” ช่วยผู้ป่วยเหลือง-แดง
จากสถานการณ์วันนี้ ที่มีกรณีผู้ป่วยต้องเสียชีวิตในบ้าน ตายข้างถนน ทำให้กลุ่มเส้นด้าย และพันธมิตรจากหลายภาคส่วนผลักดันโปรเจคท์ “ศูนย์รอยต่อ” เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลือง สีเหลืองเข้ม จนถึงสีแดง ระหว่างที่รอเข้ารับการรักษา เพื่อพยุงชีวิตให้อยู่รอดในระหว่างที่รอเข้าสู่ระบบการรักษาจากภาครัฐ โดยสถานที่ตอนนี้ คริส บอกว่า น่าจะเป็นที่ จ.ปทุมธานี โดยได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในเรื่องของสถานที่ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ต้องตั้งศูนย์ฯ นี้ขึ้น คริส เล่าว่า ตอนนี้ที่เป็นปัญหาหนัก ๆ ก็คือ กลุ่มสีเหลืองและสีแดง ที่คนกลุ่มนี้ไม่มีทางไป ซึ่งทำให้เกิดการตายข้างถนน ตายในบ้าน ตายโดดเดี่ยว ตายจมกองปัสสาวะ ตายจมกองอุจจาระ และเราไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว  

โปรเจคท์ “ศูนย์รอยต่อ

ขณะที่ ภูวกร บอกว่า ศูนย์รอยต่อ หรือ Stabilizing center นี้ตั้งขึ้นเพราะเราไม่อยากปล่อยให้ใครต้องโดดเดี่ยวอีกแล้ว เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้ เขาอาจจะรอด แต่ปัญหาคือตอนนี้ในระบบเตียงมันเต็มเอี้ยดไปหมดแล้ว ดังนั้นศูนย์ฯ นี้อาจจะไม่ใช่เพื่อการรักษา แต่มีเป้าหมายเพื่อจะช่วยพยุงผู้ป่วยในระหว่างเวลาที่เขารอเตียง เพื่อที่จะช่วยให้เขามีโอกาสได้รอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยก็ช่วยให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้มีความหวังมากขึ้น  

วางแผนจัดตั้งศูนย์ส่งต่อผู้ติดเชื้อโควิด

ด้าน คริส พูดเรื่องนี้เพิ่มเติมว่า ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีผู้ป่วยหลายรายที่อาการเริ่มหนัก จนกินอาหารไม่ได้ กินน้ำไม่ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดการเสียชีวิตคาบ้าน ซึ่งศูนย์ฯ นี้จะบอกว่าคุณสามารถส่งผู้ป่วยสีเหลืองที่มีโอกาสรอดมาตรงนี้ เพื่อที่เขาจะได้น้ำเกลือ ได้กินยาฆ่าเชื้อไวรัสเบื้องต้น เพื่อรอให้ส่งตัวไปรักษา ซึ่งศูนย์ฯ นี้ทำหน้าที่เป็นรอยต่อของระบบ และอีกจุดประสงค์สำคัญที่กลุ่มเส้นด้ายตั้งศูนย์ฯ นี้ขึ้นมานั้น เพื่อที่จะบอกว่า ที่บอกว่า รพ.เต็มแล้วนั้น เต็มแล้วยังไง เต็มแล้วก็ไม่คิดทำอะไรต่อเลยหรือ ซึ่งส่วนตัวยอมรับว่างุนงงกับปฏิกิริยาแบบนี้มาก คือพอมีประโยคว่าเต็มแล้ว ก็ยืนนิ่ง ๆ กันไปหมด ซึ่งพวกเรามองว่า มันยังมีทางให้เดินต่อไปได้นะ ยังทำอะไรต่อได้อีก แค่ต้องมีความคิดสร้างสรรค์มาก ๆ หรือมีแล้วก็ต้องให้มากกว่านี้อีกหน่อย

คุณลุงรอคอยความช่วยเหลือนาน 5 วัน

“สมมุติ รพ.ก.รู้ว่าผู้ป่วยคนนี้กำลังจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง แต่ รพ.ก. บอกว่าจะมีเตียงสีเหลืองให้ในอีก 2 วัน ซึ่งถ้าเราปล่อยให้คนนี้อยู่แบบเดิม เขาไม่รอดแน่ ดังนั้น เราจะไปเอาคนไข้เหล่านี้มาที่ศูนย์ฯ ให้ออกซิเจนเขา ให้ยาฆ่าเชื้อเบื้องต้น แล้วที่เหลือรอเวลา ถ้าเราประคองเขาได้ทันเวลาที่สุดท้ายเขาได้ รพ. เขาก็มีโอกาสรอด ซึ่งเส้นด้ายมองว่า เราไม่อยากให้มันสูญเสียไปกว่านี้ ซึ่งทรัพยากรที่มีค่าของประเทศไทยคือคนนะครับ ถ้าเราจะปล่อยให้ทรัพยากรที่มีค่าเหล่านี้จำนวนมากต้องตายกันไป โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย มันได้เหรอ” คริส ระบุ

ส่งสัญญาณถึงรัฐต้องจริงใจกว่านี้
นอกจากเพื่อพยุงชีวิตให้กับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลือง สีเหลืองเข้ม จนถึงสีแดงแล้ว อีกมิติหนึ่ง “โมเดลศูนย์รอยต่อ” นี้ กลุ่มเส้นด้ายยังต้องการให้โมเดลนี้ได้สะท้อนและส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจด้วย โดย ภูวกร ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเส้นด้าย บอกว่า เส้นด้ายกำลังจะส่งสัญญาณถึงสังคมและผู้มีอำนาจทั้งหลายในเวลานี้ว่า ถ้าหากมีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าร่วมมือกัน ศึกนี้ก็มีสิทธิชนะได้ เพราะในเชิงปริมาณแล้ว ศูนย์รอยต่อนี้คงไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้จำนวนมากมายอะไร แต่ที่ต้องทำ เพราะต้องการสื่อสารไปหาประชาชนกับผู้มีอำนาจในการบริหารว่า “ถ้าเส้นด้ายซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กที่แทบไม่มีทรัพยากรอะไรเลย ไม่มีอำนาจอะไรเลยในมือ ทำได้ ทุกคนก็สามารถทำได้ ขอแค่แสดงความตั้งใจจริงที่จะดูแลประชาชน แสดงความใส่ใจให้มากขึ้นกว่านี้ ถ้าทำได้ เราทุกคนก็สามารถชนะปัญหา หรืออย่างน้อยก็ช่วยทำให้ปัญหาที่มีอยู่นี้บรรเทาลงไป” ภูวกร ระบุ

คุณป้าวัย 59 ปี อีกหนึ่งในผู้เสียชีวิต

เชือกแห่งความหวังของผู้ป่วยที่สิ้นหวัง
การทำงานตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เวลานี้ ทุกครั้งที่ชาวบ้านเห็นรถพะโลโก้เส้นด้าย ทุกคนก็ดูจะมีความหวังปรากฏขึ้นมาแววตา เรื่องนี้ คริส มองว่า สิ่งที่เส้นด้ายทุกคนตั้งใจจะบอกกับสังคมก็คือ ถ้าเราบอกว่าวันนี้ ระบบสาธารณสุขมันล่มแล้ว มันไปต่อไม่ได้แล้ว มันเต็มแล้ว และทุกคนก็ได้แต่ยืนมองเฉย ๆ นอนดูมันเฉย ๆ มันคงเหมือนเรายอมแพ้กับศึกนี้ง่ายเกินไป ดังนั้น อย่างน้อยเส้นด้ายก็ขอเป็นแรงที่จะบอกว่า กูจะชกกับมึงจนยกสุดท้าย จะสู้จนกว่ามีอะไรมาบอกว่าเราสู้ไม่ได้แล้ว ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว เพราะวันนี้เส้นด้ายยังเห็นว่า มันยังไปต่อได้ เราเชื่อว่า ยังมีวิธีการอีกหลายอย่างที่จะแก้ปัญหานี้ได้

ทีมงาน “กลุ่มเส้นด้าย” ทำงานแข่งกับเวลา

“ในฐานะตัวแทนของเส้นด้าย เราอยากจะบอกกับสังคมไทยว่า ในอุโมงค์อันมืดมิดนี้ มันยังมีความหวังอยู่นะ อย่างน้อยก็ลิบ ๆ  ซึ่งขนาดเราเป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ งบประมาณก็ไม่มี อำนาจก็ไม่มี แต่เรายังไม่ยอมแพ้ และถ้าทุกคนที่อยากจะสู้ ลุกขึ้นมาเป็นเส้นด้ายต่อ ๆ กันไป ก็เชื่อว่า เส้นด้ายเส้นนี้จะช่วยพยุงสังคมได้อย่างแน่นอน เพราะถ้าลำพังแค่เส้นด้ายเส้นเดียว คงไม่มีแรงมากพอที่จะทำได้ ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าจะชนะไหม ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม แต่ในเมื่อมีโอกาส เราก็ยังต้องไปต่อให้ได้ อันนี้คือสิ่งที่เป็นพลัง ที่ทำให้เส้นด้ายยังสามารถทอดยาวและเดินต่อไปได้ในทุกวันนี้” คริส บอกเล่าความรู้สึกเรื่องนี้

เตรียมตัวออกช่วยเหลือประชาชน

ด้าน ภูวกร ได้เสริมว่า ต้องบอกก่อนเลยว่า พวกเราไม่ใช่คนดี แต่สิ่งที่เรามีอยู่มานานแล้วก็คือ เราแค่ต้องการลดความได้เปรียบของคนข้างบนให้ลดลงมาบ้าง ให้ความใกล้เคียงของโอกาสให้มันใกล้เคียงกันบ้าง เราจึงทำหน้าที่เป็นเส้นของคนที่ไม่มีเส้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้เราเดินต่อไป โดยสิ่งที่เราทำมาตลอดเกือบ 3 เดือน และสิ่งที่ทุกคนมอบให้กลับคืนมากับเราทุกคนที่เส้นด้ายนั้น ช่วยทำให้เรามั่นใจว่า…เส้นด้ายเส้นนี้ของเราจะไม่มีวันขาด ภูวกร ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มเส้นด้าย ระบุ

กลุ่มประชาชนอาสา ภายใต้ชื่อ “กลุ่มเส้นด้าย”

อนาคตเส้นด้าย “ไปต่อหรือพอแค่นี้”
ถึงแม้จะเคยมีการประกาศเอาไว้นับตั้งแต่วันแรกที่ “กลุ่มเส้นด้าย ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2564 เอาไว้ว่า จะอยู่แค่ช่วงสั้น ๆ และที่สำคัญ ก่อนหน้านี้ในหน้าเฟซบุ๊กเพจทางการของกลุ่มเส้นด้ายเอง ก็ได้เคยมีการโพสต์เอาไว้ถึง อนาคตของเส้นด้ายเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2564 ว่า…อาจจะทำงานต่อไปได้อีกแค่ 1 เดือน แต่ที่สุดแล้ว ด้ายเส้นนี้ก็ยังไม่ขาดผึงลง แถมยังทำให้เกิดเส้นด้ายเส้นใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในสังคมไทยทุกวัน โดยเกี่ยวกับ “อนาคตของเส้นด้าย” นี้ ทาง คริส และ ภูวกร ได้สบตากัน พร้อมกล่าวอย่างติดตลกว่า ถามว่าเส้นด้ายจะอยู่ต่อไปอีกนานแค่ไหน สำหรับคำตอบตอนนี้ ตอบได้แค่ว่า ถ้ายังไม่ตายไปกันทั้งทีม ก็คงทำต่อไป คงยังไม่เลิก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เป็นแบบนี้

…นี่อาจเป็นทั้งคำยืนยัน รวมถึงอาจเป็นคำสัญญาที่สำคัญถึงอนาคตข้างหน้าของประชาชนอาสากลุ่มเล็ก ๆ ที่มีภารกิจไม่เล็กกลุ่มนี้ ที่สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มทั้ง “คริส โปตระนันทน์” และ “ภูวกร ศรีเนียน” ได้ส่งสัญญาณไว้ก็ได้ กับหนทางข้างหน้าของ “เส้นด้าย”