จากกรณี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศโดยกล่าวอ้างว่า มีนายทหารในรัฐบาลชุดนี้ที่มีตำแหน่งใหญ่โต พยายามเข้าไปแทรกแซงการสืบสวนและรูปสำนวน จนทำให้เกิดความเกรงกลัวว่าจะมีภัยถึงแก่ชีวิต สุดท้ายต้องขอลี้ภัยไปอยู่ในออสเตรเลีย ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นี้เมื่อวันที่ 27 เม.ย. พล.ต.ต.ปวีณ ได้ออกมาให้สัมภาษ์กับรายการข่าวค่ำ ไทยพีบีเอส ว่า ตนต้องการให้คนทั่วโลกรับทราบว่าความจริงมันเกิดขึ้นอย่างไร และเราจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ทั้งชีวิตผมเป็นพนักงานสอบสวนสืบสวนมาตลอด ตนรู้ว่าคำพูดแต่ละคำนั้นมีความหมาย ต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่ได้เลื่อนลอย ทุกอย่างมีหลักฐานทั้งหมด ส่วนที่ว่าตนพร้อมจะกลับมาไทยหรือไม่นั้น ตนชี้แจงหลายครั้่งหลายหนแล้วว่า ตราบใดที่ยังเป็นรัฐบาลชุดนี้อยู่ตนจะไม่เดินทางไปแน่นอน

สำหรับเรื่องที่ พล.ต.ต.ปวีณ ไปเผยกับสำนักข่าวต่างประเทศว่ามีการขัดขวางการสืบสวนเส้นทางการเงิน พล.ท.มนัส นั้น อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 กล่าวว่า ผมไม่อยากเอาหลักฐานมาแฉตอนนี้เพราะมันยังไม่ถึงเวลา จริง ๆ มีมากกว่านั้นอีกเยอะแยะที่ตนจะพูด ทั้งนี้ก่อนที่ตนจะลี้ภัยมายังต่างประเทศนั้น มีทหารยศ พล.ต. มาบอกให้ตนหยุดทำคดีนี้ เพราะมันเสี่ยงเกินไป การพูดแบบนี้วันเวลาไหน ตำแหน่งอะไร ตนบันทึกไว้หมด

แล้วกลุ่มนายตำรวจที่เป็นชั้นนายพล ใกล้ชิด “ประวิทย์” มาบอกว่า “ทหาร” เขาไม่พอใจนะ พี่ไปออกหมายจับเขา ตอนนั้นตนเป็นพนักงานสอบสวน รู้สึกงงมาก คุณเป็นตำรวจหรือเป็นใคร ไอ้ที่ตนจับนี้ไม่ได้กลั่นแกล้งเขา ทำตามหน้าที่ทำไมมาพูดแบบนี้ แต่ละคน…แต่ละคน ไปรีดเอาข้อมูล ไปเข้าค่ายทหาร ไปเจอพันเอกกับร้อยโท เมื่อไหร่ที่ไหนอย่างไร ผมบันทึกเอาไว้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมมาพูดลอย ๆ เล่น ๆ คุณทำอะไรไว้กับบ้านเมืองนั้น คุณอาจจะทำกับคนอื่นได้ แต่มาทำกับผม ซึ่งอาชีพผมคือการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน คุณทำไม่ได้

ส่วนคำถามที่ว่า ทางการไทยพยายามติดต่อไปในทางตรงและทางลับนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อตนมาแต่อย่างใด แม้ว่าตนจะมีหลักฐานพร้อมที่จะเปิดเผย แต่กลับไม่มีใครติดต่อมาแต่อย่างใด

ขอบคุณภาพและข้อมูล รายการข่าวค่ำ ไทยพีบีเอส