“ในช่วงปีสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ขอให้รัฐมนตรีช่วยกันชี้แจงผลงานรัฐบาลด้วย” หลังๆ ในรายงานข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่พูดกันในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มักจะเน้นย้ำประเด็นนี้บ่อยๆ เพราะนี่ก็เรียกว่าใกล้จะครบเทอมรัฐบาลแล้ว ถ้าบิ๊กตู่ไม่มีอันเป็นไปเสียก่อน จากการถูกคว่ำในเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือถูกตีความว่าดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปี ก็จะหมดวาระเดือน มี.ค. 66 แล้วก็เลือกตั้ง

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ากระแสของรัฐบาลนั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก มันมาจาก “วาทกรรมครึ่งๆ กลางๆ” ประเภทฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลบอกแค่ว่า “ดีแต่กู้ ข้าวของแพง ราคาขึ้นเอาๆ” แล้วก็ลามหนักข้อไปขนาดว่า คนยากคนจนจะอดตายอยู่แล้ว ..ฟังแล้วปวดใจเจ้าประคุณเอ๋ย เหมือนประเทศเราเข้าสู่ กลียุค กันแล้ว ก็เห็นไพร่ฟ้าหน้าใสยังซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แพงๆ กัน มีปัญญากินบุฟเฟ่ต์ มีปัญญากินเหล้า กินเบียร์ สูบบุหรี่ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ยังไม่เห็นจะพูดอะไรหรือเข้ามาปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม

คือทุกอย่างมันมีสาเหตุของมัน โอเคว่า การกู้หรือกองบผูกพันข้ามปีเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นั้น หลายคนอาจไม่เห็นด้วยเพราะ “ทหารไม่ได้อธิบายให้เห็นความจำเป็นได้มากพอ” แต่เรื่องการกู้ ต้องเข้าใจว่า เป็น การกู้เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาดแบบเร่งด่วน เมื่อรัฐบาลจำต้องออกมาตรการปิดกั้นทางสังคม รักษาระยะห่าง กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงักหมด ก็ต้องมีการช่วยเหลือเยียวยาในลักษณะเงินให้เปล่า ช่วงระบาดแรงๆ นั้นถ้าไม่คุมเข้มระบบสาธารณสุขไทยก็ล่มสลายเพราะบุคลากรไม่เพียงพอ..และเงินกู้ต้องนำมาใช้เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย

สำหรับ เรื่องข้าวของแพง มันก็มีผลมาจาก สงคราม ราคาพลังงานที่ถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งปัญหาบางเรื่องมันเป็น ปัจจัยภายนอก การพูดแบบครึ่งๆ กลางๆ ของฝ่ายค้านก็เอาแต่คำพูดสั้นๆ นั่นแหละไปพูดต่อ ..และเอาจริง บุคลิกของผู้นำก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายๆ คนไม่ชอบและพร้อมจะคล้อยตามการโจมตีของฝ่ายค้าน เริ่มตั้งแต่ ที่มาของบิ๊กตู่ ที่มาจาก การยึดอำนาจปี 57 แม้จะบอกว่า ปี 62 มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ อย่าปฏิเสธเลยว่ารัฐธรรมนูญช่วยให้กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ทั้งเรื่องการกำหนด ส.ส.พึงมีไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งชนะเด็ดขาด ทั้ง ส.ว.เลือกนายกฯ ตามบทเฉพาะกาล

บุคลิกของ “บิ๊กตู่” เองก็เป็นที่ไม่ถูกใจใครหลายๆ คน เท่าที่เคยถามๆ คนไม่ชอบก็ได้คำตอบคือ อยู่แต่ในอดีต พูดอยู่แต่รัฐบาลก่อนทำประเทศชาติเจ๊งเรื่องจำนำข้าว รัฐบาลนี้ต้องเข้ามาแก้ปัญหา จนพี่ชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำนำข้าว ทนไม่ได้ออกมาด่าคืนว่าเพราะหลังจากนั้น รัฐบาลบิ๊กตู่โง่เองที่เอาข้าวดีไปขายราคาข้าวเน่า มันก็ขาดทุนสิ ..แล้วก็ยังชอบพูดอยู่แต่ว่า ถ้าตัวเอง”ไม่เข้ามา”ตอนนั้น ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

คือ มันเหมือนเป็นการทวงบุญคุณบวกอวดตัวอยู่ไม่รู้แล้ว ถามว่าตอนนั้นทางออกประเทศชาติควรเป็นอย่างไร ..ตอบว่า กกต.ต้องแข็งใจเดินหน้าจัดเลือกตั้งต่อไปให้ได้ แม้รอบแรกจะโดนขัดขวาง แต่จัดอีกครั้งก็ต้องใช้กลไกความมั่นคงทั้งตำรวจ ทหาร จัดการกับ อีพวกสกัดหน้าคูหาเลือกตั้งให้ได้ เพราะเลือกตั้งเป็นทางออกทางเดียวตามรัฐธรรมนูญ ..ในขณะนั้น ม็อบ กปปส. ประกาศให้ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นคำพูดแบบ ขี้เท่อ เพราะ

  1. ไม่บอกว่าปฏิรูปอะไร อย่างไร บอกแค่ว่าให้ชนะก่อนแล้วเราถึงจะบอก นี่แสดงว่าไม่มีทิศทางหรือเป้าหมายอื่นนอกจากล้มรัฐบาลหรือไม่
  2. กลไกเลือกตั้งเป็นกลไกตามกฎหมายกลไกเดียวเพื่อแก้ปัญหา ไม่มีฉบับไหนบัญญัติไว้ว่าให้มีคณะกรรมการปฏิรูป มีอำนาจ

ณ ขณะนั้น เหมือน กปปส.จะพยายามให้ตัวเองมีอำนาจโดยบีบคอให้รัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการปฏิรูป (ที่ก็น่าจะเป็นพวกตัวเองนั่นแหละ) แต่ถามว่า เมื่อคณะกรรมการปฏิรูปมันไม่เป็นองค์กรตามกฎหมายที่มีอำนาจ ตั้งขึ้นมาคุณจะแก้ไขงานนิติบัญญัติอะไรได้? อำนาจมันอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ..น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามรอมชอมทางออกให้มากที่สุดโดยตั้งคณะกรรมการที่มีทุกฝ่ายเข้าร่วมแต่เป็นคำสั่งสำนักนายกฯ ซึ่งกรรมการเสนอได้แค่ความเห็น ก็ไม่เอากัน ทั้งที่ขอบเขตทางกฎหมายมันทำได้แค่นั้น ..มันเหมือน กปปส.อ้างรักความเป็นธรรมแต่ทำผิดกฎหมายเสียเอง

ย้อนกลับมาที่ บุคลิกของบิ๊กตู่ที่ไม่ค่อยซื้อใจคน นอกจาก ชอบพูดแบบอยู่แต่ในอดีต ชอบทวงบุญคุณว่าเข้ามาแก้ปัญหาประเทศชาติ ก็ ชอบพูดประเภทชอบสอน ชอบย้ำคิดย้ำทำว่ารัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง ซึ่งถ้ามันเด่นจริงๆ ไอ้ที่ว่ารัฐบาลทำ คนอื่นเขาจะพูดเองไม่ใช่องคาพยพของรัฐบาลต้องมาย้ำเตือนให้ แล แนวคิดหลายแนวคิดของบิ๊กตู่ก็ค่อนข้างหัวโบราณ..เอาเป็นว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ทำแล้วคนพูดถึงเองคือ บัตรคนจน กับ โครงการคนละครึ่ง นั่นแหละ ..คือคนที่ไม่ชอบก็จะมองภาพลักษณ์นายกฯ เป็นคนแก่ขี้บ่นที่ “อยู่กับเธอตั้งนาน ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา” น่าจะเลิกแล้วต่อกันไปให้พ้นๆ

อย่างไรก็ตาม ความที่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกาศจะเสนอบิ๊กตู่เป็น แคนดิเดต นายกฯ อีกสมัย แสดงว่า “บิ๊กตู่ไม่น่าจะเลิกเล่นการเมืองหลังจากหมดวาระครั้งนี้” ก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน คงหวังจะ “ปิดจ๊อบ” แก้ปัญหาหนี้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือเปล่า ดังนั้น ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเพลี่ยงพล้ำด้วยการโจมตีของฝ่ายค้าน และ ต้องหวังสร้างคะแนนนิยมใหม่ ก็ต้องมีโครงการอะไรต่างๆ ขึ้นมาเพื่อสื่อสารให้รู้ว่า “รัฐบาลมีผลงาน”

แนวทางการสื่อสารที่รัฐบาลใช้ ที่ผ่านมา อาทิ การจัดงานเสวนาระดับชาติ ‘Better Thailand ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม’ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ โดยฝ่ายภาครัฐยืนยันว่าเป็นเงินของสมาคมศิษย์เก่าบางคณะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ใช่เงินหลวง การจัดงานเป็นการสื่อสารในทำนองว่า รัฐบาลได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง และที่น่าสนใจคือเรื่องการปฏิรูปต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนโยบายของรัฐบาล เรื่องนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้พูดว่าจะมีกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลผลักดัน อาทิ ร่าง พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเลกทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนดำเนินงานราชการได้ทางแอพพลิเคชั่นต่างๆ และ ร่าง พ.ร.บ.การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น จากที่เดิมประชาชนไม่มีอำนาจนี้ ต่อไปจะเข้าชื่อจัดการพวก อบต., อบจ., เทศบาลได้ถ้าไม่ทำตามที่พูด

และมี การพีอาร์ผลงานรัฐบาล โดยจัดคนมาจัดรายการ “คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องจากรัฐมนตรี” ออกอากาศทาง FM 92.5 ช่วงเช้า ก็เหมือนตอนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จัดรายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ โดยเทปที่ล่าสุดที่ออกอากาศไปคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณะสุข ออกรายการพูดเรื่องโควิดและเรื่องกัญชา ..นอกจากนี้ ยังอาจมีการใช้ช่องทางให้ ส.ว.เปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ใช้เวทีนี้ชี้แจงผลงาน ไปจนถึงพูดทำนองว่าจะทำอะไรต่อไป (ซึ่งดูคล้ายการหาเสียง) ได้อีก สู้ศึกไม่ไว้วางใจ

ในแต่ละพรรคการเมือง ก็พีอาร์งานที่เป็นนโยบายของตัวเอง อย่าง พรรคภูมิใจไทยก็เน้นพูดเรื่องกัญชาเสรี ประชาธิปัตย์ก็เน้นพูดเรื่องการประกันราคาสินค้าเกษตร การตรึงราคาของแพง พลังประชารัฐ นั้นยังรอดูอยู่ว่า โฆษกเฉพาะกิจของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค คือ นายนิโรธ สุนทรเลขา จะหยิบอะไรขึ้นมาขาย

ต่างก็เตรียมตัวประกาศผลงาน เคลมผลงานเตรียมเลือกตั้งกันแล้ว แต่ขอแค่ว่าอย่าทำให้น่าเบื่อแล้วกัน

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”