เลบานอน, ศรีลังกา, รัสเซีย, ซูรินาเม และแซมเบีย ตกอยู่ในสถานะผิดนัดการจ่ายหนี้ ส่วน เบลารุส อยู่ในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่ และอีกอย่างน้อยหลายสิบประเทศอยู่ในโซนอันตราย เนื่องจากต้นทุนการยืม ภาวะเงินเฟ้อ และหนี้ ที่ต่างขยับตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมด สร้างความกลัวเรื่องการล่มสลายทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ผู้มีประสบการณ์ด้านวิกฤติหลายคนหวังว่าหลายประเทศยังสามารถหลีกเลี่ยงการผิดสัญญาได้ โดยเฉพาะหากตลาดโลกเริ่มทรงตัว และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เข้าให้ความช่วยเหลือ แต่ประเทศเหล่านี้คือตัวอย่างประเทศที่ตกอยู่ในความเสี่ยง

อาร์เจนตินา เจ้าของสถิติหนี้รัฐบาลดูเหมือนจะมีหนี้เพิ่มขึ้นอีก สกุลเงินเปโซอาร์เจนตินา ในปัจจุบันมีการซื้อขายที่ส่วนลดเกือบ 50% ในตลาดมืด อีกทั้งเงินทุนสำรองของประเทศอยู่ในระดับต่ำอย่างมาก และการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ที่เพียง 0.2 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7.33 บาท) ซึ่งต่ำกว่าครึ่งจากระดับหลังการปรับโครงสร้างหนี้ของประเทศในปี 2563

ยูเครน การรุกรานของรัสเซียส่งผลให้ยูเครนต้องปรับโครงสร้างหนี้กว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 732,000 ล้านบาท) และต้องเผชิญวิกฤติจากกำหนดชำระตราสารหนี้ 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 44,000 ล้านบาท) ในเดือน ก.ย.นี้ แม้รัฐบาลเคียฟจะมีเงินช่วยเหลือและทุนสำรองเพียงพอที่จะจ่าย แต่การขอค้างชำระหนี้ 2 ปี ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ยูเครนจะผิดนัดการจ่ายหนี้เช่นกัน

อียิปต์ อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เกือบ 95% คือการไหลออกของเงินสดระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในปีนี้ ขณะที่บริษัทกองทุน “เอฟไอเอ็ม พาร์ตเนอร์ส” ประมาณการว่า อียิปต์มีหนี้สกุลเงินแข็งประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท) ที่ต้องชำระในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ รวมถึงตราสารหนี้อีก 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 120,000 ล้านบาท) ซึ่งต้องจ่ายในปี 2567

เอลซัลวาดอร์ แม้จะประกาศให้สามารถใช้บิตคอยน์ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ก็เป็นการปิดประตูต่อความเชื่อถือของไอเอ็มเอฟเช่นกัน โดยความไว้วางใจต่อเอลซัลวาดอร์ร่วงหล่นถึงจุดที่ตราสารหนี้ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ซึ่งครบกำหนดอายุใน 6 เดือน ซื้อขายที่ส่วนลด 30% และช่วงครบกำหนดระยะยาวซื้อขายอยู่ที่ส่วนลด 70%

ปากีสถาน การบรรลุข้อตกลงสำคัญกับไอเอ็มเอฟ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากปัญหาราคานำเข้าพลังงานที่สูง กำลังผลักให้ประเทศเข้าใกล้ขอบสมดุลของวิกฤติการชำระหนี้ ทั้งนี้ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของปากีสถานลดต่ำเหลือ 9,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 360,000 ล้านบาท) ยังแทบไม่เพียงพอกับการนำเข้าสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภค 5 สัปดาห์ อีกทั้งสกุลเงินรูปีปากีสถานยังอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ จนรัฐบาลชุดใหม่จำเป็นต้องตัดการใช้จ่ายอย่างกะทันหัน เนื่องจากประเทศใช้สัดส่วน 40% ของรายได้ไปกับการจ่ายดอกเบี้ย.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : REUTERS