ครั้งนี้ ทัพไทยได้มา 1 เหรียญทอง 1 เหรียญทองแดง จะว่าไปก็ไม่ขี้เหร่ แต่ว่ากีฬาที่เราได้ ก็ยังวนเวียนอยู่กับเดิมๆ มวย, เทควันโด และ ยกน้ำหนัก แต่คราวนี้ ทีมยกเหล็กโดนแบน ก็เหลือแต่มวยกับ เทควันโด

ชื่นชมความสำเร็จที่ได้มา กับเหรียญทองประวัติศาสตร์เทควันโด ส่วนมวยนับตั้งแต่ผ่านโอลิมปิก 2008 ที่ปักกิ่ง ก็ฟุบยาว หนที่แล้ว ปี 2016 ไม่ได้เหรียญ หนนี้ได้ 1 ทองแดง เหมือนกลับไปตอนเพิ่งตั้งไข่ น่าไปรื้อตำราเก่าๆว่าทำอย่างไรให้ได้เหรียญทอง

กีฬาที่ไม่ได้ ก็ยังไม่ได้เหมือนเดิม อย่างแบดมินตัน หวังไว้เยอะ หวังไว้หลายครั้งแล้ว ก็ยังได้แค่เฉียด ไม่ได้ดีขึ้นกว่าที่เคยทำได้

จะบอกว่า “พอใจ” ก็ดูโลกสวยไป ซึ่งในมุมของกองเชียร์ แน่นอนต้องส่งกำลังใจให้นักกีฬาสู้ต่อไปเพราะทำได้แค่เท่านี้แหละ แต่แค่ “กำลังใจ” มันทำให้ถึงฝั่งฝันไม่ได้ เป็นหน้าที่ผู้บริหารต้องทำอย่างอื่นด้วย ไม่ใช่แข่งเสร็จเอาแต่ลูบหลัง ตบไหล่ บทเรียนคงเยอะแยะเต็มกระบุงอยู่แล้ว

บางทีคำปลอบใจ “เราทำดีที่สุดแล้ว” ก็น่าปวดใจ หากคิดว่า “ทำดีที่สุดแล้ว” ก็ยังไม่ได้ตามเป้าหมาย

กลับมาเรื่องฟุตบอลไทยกันบ้าง ช่วงโอลิมปิกเกมส์ มีข่าวใหญ่ คือการเปลี่ยนแปลงโค้ชทีมชาติไทย

ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย หากดูจากท่าทีของทั้ง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ อากิระ นิชิโนะ

ยิ่งด้วยโปรแกรมทีมชาติไทยชุดใหญ่ ที่เว้นยาว เพราะเรายกเลิก 3 ฟีฟ่าเดย์ ไปเจอกันอีกทีคือ ซูซูกิคัพ ในเดือน ธ.ค. ก็ไม่รู้จะได้จัดหรือไม่ ด้วยเงินเดือน ของ นิชิโนะ หากรับเต็มๆ ก็ 2 ล้านกว่าบาท เท่ากับว่า สมาคมฯ จะจ่ายไปฟรีๆ ในหลายเดือนจากนี้ เป็นอีกปัจจัยที่ต้องแยกทางกัน

ปัญหาต่อไปคือ ใครจะมาทำหน้าที่แทน

การหาโค้ชใหม่ อาจไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เพราะอย่างที่ทราบโปรแกรมแข่งขันทีมชาติไทยชุดใหญ่ จะเว้นยาวไปถึงเดือน ธ.ค. ขณะเดียวกัน สมาคมฯ ก็แต่งตั้งโค้ชรักษาการไว้แล้ว “โค้ชจุ่น” อนุรักษ์ ศรีเกิด เป็นหัวหน้าโค้ช กับ “โค้ชหระ” อิสสระ ศรีทะโร เป็นผู้ช่วย

ฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปี ชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก ที่มองโกเลีย ปลายเดือน ต.ค.นี้ ก็ไม่น่าพลาดจาก คนคู่ “จุ่น-หระ” ที่ทำหน้าที่ เพราะเวลาล่วงเลยมาป่านนี้ และทีมงานชุดดังกล่าว วางแผนเดินเครื่องแล้ว

ส่วนในการหาโค้ชถาวร กระแสข่าวจากสมาคมฯ ค่อนข้างเงียบ ไม่เปิดตัว ประกาศรับสมัครชัดๆ จนชักหวั่นใจว่า หมดแรงกันแล้วหรือเปล่า เพราะลำพังเข็นไทยลีก ให้ฝ่าโควิดแข่งขันได้ ก็เหงือกบานแล้ว ถ้าแข่งไม่ได้หล่ะ บรรลัยเกิดแน่ เพราะนี่คือ สินค้าเดียว แหล่งรายได้หลักของวงการฟุตบอลไทย

พาทิศ ศุภะพงษ์ เลขาธิการสมาคมฯ บอกว่า ไม่ใช่จะเชื่องช้า รอท่า เงื้อง่าราคาแพง แต่ในทางปฏิบัติ เริ่มกระบวนการกันแล้ว การ์เลส โรมาโกซา ผู้อำนวยการเทคนิค เป็นหัวเรือใหญ่ รวบรวมรายชื่อ ก่อนตัดให้เหลือตัวเลือกน้อยสุด

แต่ไม่ขีดเส้น ว่าต้องได้เมื่อไหร่ ให้เวลาทำงานเต็มที่

โค้ชใหม่ อาจไม่รวบทำทั้งชุด ยู23 และ ชุดใหญ่ อยู่ที่การเจรจากับคนที่มาทำหน้าที่

กระแสโค้ชต่างชาติ โค้ชไทย มาแรง มีไม่น้อยที่อยากเห็นโค้ชไทยคุมทีมไทยอีกครั้ง หลังจาก 2 คนที่มา มิโลวาน ราเยวัช กับ นิชิโนะ เริ่มต้นดูดี ผ่านๆ ไปดูดร็อป

ผมก็คิดว่า โค้ชไทย น่าจะเป็นเป้าหมายหลักของ สมาคมฯ

ปัจจัยสำคัญคือ สภาพเศรษฐกิจ จากพิษโควิด ช่วงดีๆ ก็พอมีเงินทุ่มทุน แต่พอเจอวิกฤต มันพังกันเป็นแถบ นิชิโนะ นี่เข้าโครงการ “คนละครึ่ง” มาระยะหนึ่งแล้ว แสดงว่าฐานะการเงินของ สมาคมบอล ไม่ได้มั่นคง ไม่อู้ฟู่เหมือนเดิม สปอนเซอร์เจ้าใหญ่ ที่จะมาซื้อลิขสิทธิ์ก็ยังไม่รู้ออกมามุมไหน ที่แน่ๆ จะไม่จ่ายแพงเหมือนเดิมแล้วหล่ะ

เรื่องหาซูเปอร์สตาร์ ของขึ้นห้างคงไม่ใช่แล้วในตอนนี้

ถ้าโค้ชไทย ค่าจ้าง เงินเดือน น้อยลงหลายเท่า คุยกันง่าย รู้จักนักบอล จริงอยู่โค้ชโปรไลเซนส์ มีไม่กี่คนที่ยังว่างงาน แต่เดี๋ยวไทยลีกเริ่ม ก็อาจมีรายชื่อคนว่างงานมากขึ้น เพราะอย่างที่บอก คงไม่รีบตั้ง

เผลอๆ โค้ชรักษาการ “จุ่น-หระ” อาจเป็นทางเลือกต้นๆ คลุกคลีกับนักบอลมานาน แม้ โค้ชจุ่น มีแค่ เอไลเซนส์ แต่ โค้ชหระ ก็มีโปรไลเซนส์ ทางปฏิบัติ จุ่นนำหน้า พอส่งชื่อ ก็ใส่ อิสสระ ศรีทะโร

โค้ชหระ อาจมีชนักติดหลัง เรื่องผลงานทีมเยาวชน ที่แฟนบอลยังตะขิดตะขวง แต่หากดัน โค้ชจุ่น มาเด่นๆ ชัด ก็พอกลบๆ ได้

ศึก 23 ปี เอเชีย รอบคัดเลือก ที่มองโกเลีย เป็นตัวชี้วัด หากออกมาเหลวคงดั้นเมฆไม่ไหว แต่หากไปได้สวย แล้วทุกอย่างลงตัว ก็เป็นไปได้สูงทีเดียวที่โค้ชช้างศึกจะเป็นกุนซือคนคู่ “จุ่น-หระ” ขึ้นมาเป็นแม่ทัพ.