เข้าสู่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม แพลตฟอร์มของหนังที่ถูกนำมาฉายในระบบสตีมมิ่ง ยังคงแข่งขันกันอย่างเข้มข้น มีการนำเอาหนังเก่า-ใหม่ มาฉายกันอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ Netflix ที่่นำเอาภาพยนตร์แนวสยองขวัญมาจัดฉายให้ได้ชมกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะหนังในปี 63 ที่มีชื่อว่า “Zombie Detective” หรือ “นักสืบซอมบี้” เข้ามาติดโผอันดับ 1-10 หนังน่าดูในไทย และอาจขึ้นไปถึง TOP 5 ก็เป็นได้

เรื่องราวของ ซอมบี้หนุ่มที่พยายามจะใช้ชีวิตให้เหมือนมนุษย์ ด้วยการแฝงตัวเป็นนักสืบเพื่อหาเงินมาซื้ออาหารสด แทนการกินเนื้อสัตว์ตัวเล็ก ๆ หรือ แม้แต่เนื้อคน รวมไปถึงสืบหาข้อเท็จจริงที่ว่าทำไมซอมบี้อย่างเขาถึงเกิดขึ้นมาได้ และแม้ว่าภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องนี้จะออกฉายมาตั้งแต่ปี 63 แต่ก็ยังอยู่ในระดับเรื่องยอดนิยมของซีรีส์เกาหลีมายาวนานในสตีมมิ่งเจ้าอื่น

ทั้งนี้ มีผู้ชมหลายคนมองว่าหนังแนว “K-ซอมบี้” ต้องเป็นซอมบี้วิ่งไล่กัดกินแบบสยดสยอง เหมือนดังเรื่อง Kingdom ไม่ก็ Train To Busan แต่เอาเข้าจริงซีรีส์เรื่องนี้กลับพลิกเอาซอมบี้เวอร์ชั่นเก่า ๆ มาใช้นั่นก็คือ การเคลื่อนตัวที่เชื่องช้าตามแบบฉบับซอมบี้ใน The Walking Dead ดังนั้น “ดูหนังกับหมี” จึงขอให้คอหนังแนวสยองขวัญได้ทำใจไว้เลยว่า เรื่องนี้ไม่เหมือนซอมบี้ที่เคยเจอมาก่อนอย่างแน่นอน

เพราะตัวหนังจะเน้นไปที่บทบาทของตัวละครหลัก โดยนักแสดงหนุ่มสุดหล่อ “ชเวจินฮยอก” ในบทของซอมบี้หนุ่มสุดหล่อ (แต่ก็ยังมีความเอ่ออยู่เยอะพอสมควร) จู่ ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมาจากความตาย โดยไร้ความรู้สึกเจ็บปวด มีแต่หิวกระหายเลือดเนื้อ กระทั่งรับรู้ว่าตัวเองเป็นซอมบี้ไปแล้ว

เรื่องย่อ “Zombie Detective”

เมื่อซอมบี้หนุ่ม (รับบทโดย “ชเวจินฮยอก”) ฟื้นคืนชีพมาจากกองขยะ พร้อมกับไร้ความทรงจำ จนกระทั่งเห็นว่าตัวเองมีรูกระสุนปืนทั้งไม่ต่างกับศพเดินได้ นั่นทำให้เขาเริ่มมีสติกลับมาและรับรู้ว่าตัวเองคือซอมบี้ ช่วงเวลาที่เขาสติหลุดเป็นเวลาที่เขาหิวเลือดเนื้อสด ๆ เมื่อได้สติฟื้นขึ้นมาก็จะพบสัตว์ป่าตัวเล็ก ๆ โดนกัดกินจนแทบไม่เหลือ ซอมบี้หนุ่มมองเห็นผู้คนที่ไม่ได้เป็นซอมบี้อยู่ในเมืองมากมาย แสดงว่าตัวเขาเองน่าจะเป็นซอมบี้เพียงคนเดียว ดังนั้นหากใครพบเห็นเขาก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เขาจึงพยายามพัฒนาตนเองการใช้ชีวิตให้กลับมาเหมือนมนุษย์ให้มากที่สุด ด้วยการฝึงเดิน-วิ่ง โดยใช้เวลา 1 ปี ก็สามารถทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหมือนมนุษย์ปกติ แถมยังได้ความสามารถพิเศษในการวิ่ง หรือ เคลื่อนไหว แบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาอีกด้วย

จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพบว่าถ้ายังปล่อยให้สติหลุดออกไปกัดกินสัตว์เล็กๆ ต่อไปก็คงได้กินมนุษย์เข้าแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่ ทางเดียวก็คือ การเข้าสังคมไปหางานทำเพื่อเอาเงินมาซื้ออาหารสด ๆ กินแทน จังหวะนั้นเขาไปพบกับการฆาตกรรมนักสืบเอกชนที่ชื่อ “คิมมูยอง” เขาจึงสวมรอยเป็นนักสืบคนดังกล่าว แล้วก็ฝังศพนักสืบตัวจริงเอาไว้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปทำงานแทนนักสืบที่อยู่ในหลุม…ความอลเวงครื้นเครงสุดฮาได้เริ่มขึ้นแล้ว…

จุดเด่นของ “Zombie Detective”
ด้วยความเป็นหนังแนวซีรีส์ขำขันคลายเครียดต้องมีตบมุก พร้อมบทแย่งซีนอยู่เสมอซึ่งก็มักจะได้ผล ซึ่งในเรื่องได้ดาราแม่เหล็กอย่าง “พัก จูฮยอน” มารับบท “กง ซุนจี” นักเขียนรายการสืบสวนทางโทรทัศน์ จนกลายเป็นคู่หูนักสืบที่มักจะทำอะไรโก๊ะ ๆ อยู่เสมอ เนื่องเรื่องยังส่งให้ “กง ซุนจี” มีความมุ่งมันจะสืบสวนคดีฆาตกรรม เกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็ก ๆ ในเมือง ที่ยังเป็นปริศนาว่าใครกันแน่คือ “ฆาตกรใจโหด” อีกด้วย ในส่วนของการลำดับภาพหรือการเล่าเรื่อง ก็สามารถทำออกมาได้ลงตัวเข้าใจง่าย มีมุมมองที่ไม่เหมือนหนังซอมบี้ที่โหดร้าย ทั้งยังแฝงไปด้วยอารมณ์ของความโรแมนติกเล็ก ๆ แทรกบทหนัก ๆ จิกกัดประเด็นสังคมเกาหลีหลายแง่มุม ส่งผลให้บทในเรื่อง “Zombie Detective” มีครบทุกรสชาติ ที่สำคัญที่สุดคือการแฝงแง่คิดเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวตลอดจนเพื่อนฝูง

จุดอ่อนของ “Zombie Detective”
ดูเหมือนปัญหาของคอสตูมและการตัดต่อที่รวบรัด ซึ่งมักจะไม่ทันระวังจนเห็นหลุดบ่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น พระเอกที่เป็นซอมบี้ ต้องมีหน้าตาดูซีดและมีเส้นเลือดฝอยแตกตามร่างกาย ซึ่งในแต่ละซีน หรือ แต่ละตอน ก็มักจะให้นักแสดงใช้ครีมทารองพื้น เพื่อให้เหมือนกับว่าลบริ้วรอยต่าง ๆ โดยช่วงแรก ๆ รองพื้นจะหนามาก แต่ช่วงหลัง ๆ รองพื้นจะบางมาก เหมือนกับพยายามจะโฆษณาสินค้าไปในตัว ทำให้ความสมดุลและความสมจริงของหนังถูกตัดทอนลงไปพอสมควร

4/5 กะโหลก เป็นหนังที่ดูแล้วไม่มีพิษภัย ไม่มีเลือดนองกองพื้นมากมายเหมือนในโปสเตอร์ หรือภาพตัวอย่าง มีแต่ฮาและน้ำตาไหล แฝงมุมมองชีวิตด้านบวกไว้หลายประเด็นด้วย

********************************************************************************

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก เว็บไซต์ Youtube และ Netflix