วอลเลซ ประกาศเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาว่า เขาจะลาออกจากตำแหน่ง รมว.กลาโหม ก่อนการปรับรัฐบาลครั้งต่อไป และจะไม่ลงแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปี 2567 อีกทั้งเขายังกลัวว่า โลกจะไม่ปลอดภัย และไม่มั่นคงมากขึ้น ภายในสิ้นทศวรรษนี้
สำหรับวอลเลซที่ลาออกจากตำแหน่ง เขาได้รับคำชมจากหลายฝ่าย โดยนายกรัฐมนตรีริชี ซูแน็ก ผู้นำสหราชอาณาจักร ยกย่องความทุ่มเทและทักษะ ที่ทำให้วอลเลซมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนยูเครนของพันธมิตรชาติตะวันตก เพื่อต่อต้านรัสเซีย
ขณะที่ นายโอเล็กซี เรซนิคอฟ รมว.กลาโหมยูเครน ชื่นชมวอลเลซในฐานะชายผู้เป็นแบบอย่าง และเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่น ๆ เข้าร่วมในการช่วยเหลือยูเครนด้วยการสนับสนุนทางทหาร
อย่างไรก็ตาม นางมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกหญิงประจำกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า วอลเลซออกจากสนามรบอย่างไร้เกียรติ และเขามีส่วนรับผิดชอบในการทำให้ดินแดนยูเครนเกิดการปนเปื้อนรังสี ด้วยการจัดส่งกระสุนยูเรเนียมเสื่อมสภาพให้รัฐบาลเคียฟ
ภายหลังการประกาศแต่งตั้งรมว.กลาโหมสหราชอาณาจักรคนใหม่ แชปป์ส ระบุบนสื่อสังคมออนไลน์ว่า เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการแต่งตั้ง พร้อมกับกล่าวว่า วอลเลซได้สร้าง “คุณประโยชน์มหาศาล” ต่อการป้องกันสหราชอาณาจักร และความมั่นคงทั่วโลก
แม้ไม่มีประสบการณ์ด้านทหาร แต่แชปป์ส วัย 54 ปี เคยดำรงตำแหน่งรมว.คมนาคม ในรัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน และรมว.มหาดไทยของสหราชอาณาจักร ในรัฐบาลสมัยนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์ เมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ แชปป์สยังเคยดำรงตำแหน่งรมว.ธุรกิจและการค้า ภายใต้การนำของซูแน็ก ก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบความมั่นคงก้านพลังงาน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ด้านพล.อ. ลอร์ด ริชาร์ด แดนแนตต์ อดีตประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหราชอาณาจักร กล่าวเตือนว่า แชปป์ส มีความรู้เกี่ยวกับกลาโหม “น้อยมาก” และเขาต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัวให้ตามทัน
ทั้งนี้ ยูเครนจะเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่อยู่ในความสนใจของแชปป์ส หลังจากเขาย้ายไปอยู่ในกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักร ควบคู่ไปกับการให้ทุนสนับสนุนกองทัพ รวมถึงการลดจำนวนบุคลากรในกองทัพ และภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีน.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP