“ในบางประเทศ ช่องว่างการรักษาอยู่ในระดับสูงถึง 90% ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่มีความต้องการด้านสุขภาพจิตในสัดส่วนราว 90% ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมและทันเวลา หรือไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เลย” บรูนี กล่าว พร้อมกับชี้ว่า การตีตราผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต ยังคงเป็นการเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ บรูนียังระบุเพิ่มเติมว่า ความเชื่อทั่วไปที่แพร่หลายในภูมิภาคนี้คือ บุคคลที่มีปัญหาสุขภาพจิต ต้องได้รับการรักษา การดูแล และการช่วยเหลือในสถาบันสุขภาพจิต และโรงพยาบาลจิตเวช ทว่าความจริงนั้นแตกต่างออกไป เพราะผู้มีปัญหาสุขภาพจิต จำเป็นต้องเข้าถึงบริการที่มีอยู่ในชุมชน ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า และเคารพสิทธิมนุษยชนของประชาชนมากขึ้น

แม้ดับเบิลยูเอชโอกำลังดำเนินการเพื่อทำให้แน่ใจว่า สุขภาพจิตของผู้คนได้รับการส่งเสริมและปกป้อง แต่บรูนีกล่าวว่า ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพสุขภาพจิตทั่วโลก และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง และมีคนจำนวนมากถูกกีดกันออกจากชุมชน และการมีส่วนร่วมในสังคม

ตามข้อมูลของดับเบิลยูเอชโอ ประชากรโลกประมาณ 1 ใน 8 หรือเกือบ 1,000 ล้านคน ในปี 2562 ใช้ชีวิตอยู่กับปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งผู้สันทัดกรณีประมาณการว่า ตัวเลขข้างต้นสูงขึ้นมากในปัจจุบัน ท่ามกลางแรงกดดันระดับโลกที่เกิดขึ้น เช่น การระบาดของโรคโควิด-19, ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน และวิกฤติสภาพอากาศ

ขณะเดียวกัน บรูนีแนะนำให้ส่งเสริมเครือข่ายการดูแลสุขภาพในชุมชนให้มากขึ้น เนื่องจากเดิมทีแล้ว การลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลและการเงินในสุขภาพจิตส่วนใหญ่ มุ่งเป้าไปที่สถานบริการสุขภาพระดับสูง โรงพยาบาลจิตเวช หรือสถานดูแลสุขภาพจิต ซึ่งสิ่งสำคัญคือ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแนวโน้มดังกล่าว รวมถึงลงทุนในการเสริมสร้างและขยายเครือข่ายสุขภาพจิตในชุมชน

อนึ่ง ความผิดปกติทางจิตยังคงอยู่ใน 10 สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาระโรคทั่วโลก ในรอบกว่า 10 ปี โดยดับเบิลยูเอชโอระบุว่า ปัญหาที่พบบ่อยที่สุด 2 อย่าง คือ โรคซึมเศร้า และโรควิตกกังวล ซึ่งบรรดาผู้สังเกตการณ์เน้นย้ำว่า ความผิดปกติเหล่านั้น เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มคนหนุ่มสาว และมีความเชื่อมโยงกับสื่อสังคมออนไลน์ ตลอดจนการฆ่าตัวตาย

ข้อมูลของดับเบิลยูเอชโอ ระบุว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 200,000 คนต่อปี ซึ่งบรูนีชี้ว่า ประเทศต่าง ๆ สามารถดำเนินการแทรกแซงที่เป็นรูปธรรมบางอย่าง เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายในกลุ่มคนหนุ่มสาวได้ เช่น การช่วยเหลือผู้ที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย, การเปิดเผยรายงานการฆ่าตัวตายในสื่ออย่างมีความรับผิดชอบ, การสร้างทักษะทางชีวิตและอารมณ์ของเยาวชน รวมถึงการจัดการกับวิธีฆ่าตัวตาย.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES