ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย หลังที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยมีมติเลือก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ทายาททางการเมืองของ “นายทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะผู้ก่อตั้ง พรรคไทยรักไทย ซึ่งเชื่อว่า ผู้เป็นบิดาคงหมายมั่น หวังผลักดันให้บุตรสาวคนเล็ก ได้มีโอกาสนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เหมือนผู้เป็นพ่อเคยทำได้มาแล้ว
ถ้าใครติดตามความเคลื่อนไหวของ “นายทักษิณ” หลังเผชิญวิบากกรรมทางการเมืองเมื่อปี 49 ต้องต่อสู้กับคดีความต่าง ๆ จนกระทั่งปัจจุบันยอมรับผิด มักจะไม่ให้คนใกล้ชิด เข้ามามี ตำแหน่งสำคัญในพรรค มอบหมายคนอื่นเป็นหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค เพื่อหลีกเลี่ยง ถูกตัดสิทธิทางการเมือง หากพรรคที่สนับสนุนถูกลงโทษถึงขั้นยุบพรรค

แต่เมื่อมีกระแสข่าว “ดีลลับ” จนนำมาสู่การตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ฝ่ายอนุรักษนิยมฝากความหวังไว้กับ “เพื่อไทย” เพื่อให้เป็นแนวหน้าในการต่อสู้ทางการเมืองกับ “พรรคก้าวไกล” ซึ่งมีแนวทางการขับเคลื่อนทางการเมืองที่มีผลกระทบกับสถาบัน โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และสนับสนุนการเคลื่อนไหวของ กลุ่มสามนิ้ว ที่ต้องการผลักดันให้มีการปฏิรูปสถาบัน
อีกทั้งหลายคนคาดหมายกันว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเป็นการต่อสู้ของสองพรรคการเมืองคือ “เพื่อไทย” และ “ก้าวไกล” เพราะมีฐานเสียงที่มีความหนาแน่นพอ ๆ กัน “พรรคสีแดง” เป็นขวัญใจของคนชนบท โดยเฉพาะยึดครอง พื้นที่ภาคเหนือ และ อีสานมาโดยตลอด
ส่วน “พรรคสีส้ม” ก็คว้าชัยชนะได้คะแนนเสียง มาเป็นอันดับหนึ่ง จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ล้มแชมป์เก่า “พรรคเพื่อไทย” ได้อย่างนอกเหนือความคาดหมาย กวาดที่นั่ง สส. ในพื้นที่ กทม. เกือบหมด คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ก็มาเป็นลำดับหนึ่งในหลายจังหวัด เป็นที่นิยมของโหวตเตอร์ ที่เป็นคนรุ่นใหม่ ยิ่งครั้งนี้ต้องตกเป็นฝ่ายค้าน ทำให้หลายคนคิดว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าอาจได้รับคะแนนเห็นใจ ได้ที่นั่ง สส.มากกว่าเดิม เพราะเชื่อว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ดังนั้นจึงไม่แปลก ที่พรรคเพื่อไทยเดินหน้าเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งผู้บริหารพรรคแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ “แพทองธาร” ได้ใช้เวลาในการแสดงความสามารถ สร้างคะแนนนิยม ให้กับตนเองอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคู่แข่งสำคัญอย่าง “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แกนนำพรรคก้าวไกล ยังได้รับความนิยมอยู่ ซึ่งหากผ่านวิบากกรรมไปได้
ทั้งการ ถือครองหุ้นไอทีวี เรื่องแนวคิดการ แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็คงกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเช่นเดิม ซึ่งคงมีเวลา ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหาร ซึ่งพรรคก้าวไกลคงหวังจะได้ที่นั่ง สส.มากกว่าเดิม ถึงขั้นได้เป็น รัฐบาลพรรคเดียว
ทำให้เราได้เห็นพรรคแกนนำรัฐบาล ดึงคนรุ่นใหม่ เข้ามามีบทบาท ในกรรมการบริหารพรรคเป็นจำนวนมาก เพื่อหวังปรับภาพลักษณ์ของพรรค ให้ เข้ากับสถานการณ์ และ ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง ยิ่งการเลือกตั้งแต่ละครั้ง จะมีคนรุ่นใหม่ซึ่งถือเป็นคะแนนสำคัญ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย แค่ “อุ๊งอิ๊ง” เพียงคนเดียว คงยังไม่พอ ต้องมีทีมงานและบุคลากร ที่พร้อมจะสื่อสารคนรุ่นใหม่ได้ด้วย

นอกจากนี้ “พรรคเพื่อไทย” ใช้ยังสถานะความเป็น แกนนำจัดตั้งรัฐบาล มอบตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหารให้ “แพทองธาร” ได้โชว์ผลงาน ทั้ง รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ (Soft Power) ซึ่งเป็นเรื่องที่คนใน
หลากหลายวงการกำลังให้ความสนใจ เพราะเป็นการนำเอาวัฒนธรรมและสิ่งดี ๆ ของประเทศ ไปช่วยสร้างรายได้ และเป็น ประธานคณะกรรมการบริหาร การพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ เพื่อมาสานต่อ 30 บาทรักษาทุกโรค
เรียกว่าทั้งรัฐบาลและ “พรรคเพื่อไทย” ปูทางให้ “แพทองธาร” ได้มีโอกาสสร้างผลงานอย่างเต็มที่ ทั้งในทางการเมือง และ ฝ่ายบริหาร ซึ่งจะถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่จะช่วยสร้างคะแนนนิยม เพื่อนำในใช้ในการเลือกตั้ง ตามที่ “อุ๊งอิ๊ง” ได้ประกาศหลังจากรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคคือ นำ พรรคเพื่อไทย กลับไปยืน ในใจพี่น้องประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองอันดับหนึ่งอีกครั้งอย่างยั่งยืน
แต่ปัจจัยสำคัญ ที่คงลืมไม่ได้คือ ผลงานของ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน จะสร้างความประทับใจให้กับประชาชนได้มากแค่ไหน ช่วงการบริหารงานประเทศ มีเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะคู่แข่งสำคัญอย่าง “พรรคก้าวไกล” คงไม่ปล่อยให้ “เพื่อไทย” ได้คะแนนนิยมไปฝ่ายเดียวแน่ ๆ.
“เขื่อนขันธ์”