จัดเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิงในเรื่องของการเต้นและงานอีเวนต์ต่างๆ จริงๆ สำหรับหนุ่มหล่อมากความสามารถ แบงค์ ชินดนัย ภูวกุล หรือ พี่แบงค์ พี่ชายของซูเปอร์สตาร์ขวัญใจชาวไทยอย่าง แบมแบม-กันต์พิมุก ภูวกุล หรือ แบมแบม GOT7 ที่ไม่ว่าจะผลิตผลงานอะไรออกมาก็เป็นที่พูดถึงเสมอ

ล่าสุดรายการดังทางช่องยูทูบเบอร์ Dailynews Live-TH อย่างรายการ Daily POP LIVE ได้มีการคว้าตัวหนุ่มแบงค์ มาเปิดตัวตนในมุมที่ไม่มีใครรู้ แถมยังได้ล้วงลึกคำถามที่สาวๆ อยากรู้อย่างเรื่องสเตตัสหัวใจของหนุ่มคนนี้มาฝากกันด้วย งานนี้ yimyim มีหรือจะพลาด ก็ไปเก็บความเอ็กซ์คลูซีฟมาฝากคุณๆ สิคะ อิอิ

ทักทายแฟนๆ อย่างเป็นทางการสักหน่อย?

“สวัสดีครับ ผมแบงค์-ชินดนัย ภูวกุล หรือที่ทุกคนเรียกกันในวงการแหละครับว่า พี่แบงค์ ครับ (ยิ้ม) เล่าก่อนว่าจริงๆ แล้วไม่ได้ออกรายการสัมภาษณ์มานานมาก ที่มีไปสัมภาษณ์ก็เมื่อสมัยที่ขึ้นเป็นผู้บริหารค่ายเพลงแรกๆ ช่วงนั้นไปสัมภาษณ์ออกรายการเยอะมาก แต่ที่ได้พูดเป็นทางการก็คือครั้งนี้ครับ”

ช่วยเล่าที่มาที่ไปให้ฟังสักหน่อย เพราะเห็นว่าเคยทำงานเบื้องหลังในวงการบันเทิงมาอย่างมากมาย?

“จริงๆ ผมเป็นเจ้าของที่ดูแลเกี่ยวกับการออกแบบผลงานในด้านบันเทิงมาก่อน และมีโรงเรียนสอนเต้นชื่อว่า “B House Studio” จริงๆ B House Studio ก่อตั้งในปี 2016 ตอนนั้นเริ่มแรกสุดเราตั้งโดยเป็นโรงเรียนสอนเต้นมาก่อน คือเมื่อก่อนผมทำเป็นสอนเต้นฟรีแลนซ์ เหมือนตั้งแต่เรียนจบมา เห็นว่าเส้นทางเนี่ยโอเคที่สุดแล้ว เป็นครูสอนเต้นฟรีแลนซ์วันหนึ่งเนี่ยโดนยึดที่คืน เหมือนเจ้าของที่เป็นคนต่างชาติแล้วยึดไปทำอพาร์ทเม้นท์ ทีนี้ก็เลยกลับมาทำในบ้านของตัวเอง แล้วตอนนั้นไม่ได้มีชื่ออะไร ลูกศิษย์ผมเลยตั้งชื่อให้ว่า B House Studio เราเลยใช้ชื่อนี้มา เพราะรู้สึกว่าลูกศิษย์กลุ่มแรกประมาณ 50 คนเขาเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้”

“จากนั้นมันก็เติบโตมาจนกลายเป็นทุกวันนี้ เหมือนเราสอนเต้นให้กับศิลปินคนนู้นคนนี้คนนั้น สักพักหนึ่งก็เหมือนได้ขยับขยายสายงานมากขึ้น เช่น สมมุติว่าเริ่มเล่นดูสเตจ ดูไลต์ติ้ง ดูดีไซน์ สนิทกันศิลปินมาก ช่วยดูงานนี้ให้หน่อย ดูตรงนู้นตรงนี้ตรงนั้นให้หน่อย จนวันหนึ่งเริ่มเติบโตเป็นผู้จัดการศิลปินได้บ้าง จนวันหนึ่งต่างชาติเห็น แล้วผมก็ได้ไปสอนที่ฟิลิปปินส์เลย ก็เลยเป็นที่มา พอได้ไปที่แรก ก็ขยายไป 2, 3, 4, 5 มันเลยมีสายงานอยู่ในบริเวณเอเชียและในประเทศอื่นๆ บ้าง จนวันนี้ผ่านมาประมาณ 7 ปีแล้ว เราก็เติบโตเป็นบริษัท Corporate Entertainment Service อย่างเต็มตัว ที่ดูแลแบบครบรอบด้านเลย เราทำโชว์ได้ ทำสเตจได้ จริงๆ เราเหมือนกึ่งออแกไนซ์ด้วย แล้วก็ดูแลแบบภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว MV ดูแล Business ให้กับศิลปินได้ด้วย เช่น งานติดต่อมา เราแมตช์กันยังไง ค่าตัวเท่าไหร่ เราจะเคลียร์ให้หมดเลยครับ ทั้งในและต่างประเทศ แล้วก็เรื่องของการเต้นที่เราทำตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน”

ในวงการเพลงนั้น แบงค์อยู่ในวงการการเต้นกี่ปีแล้ว?

“จริงๆ อยู่มา ปีนี้ปีที่ 7 แล้วครับ ถามว่าคร่ำหวอดในสายเต้นโดยตรงไหมต้องบอกว่า ไม่ซะทีเดียว ผมไม่ใช่สายสกิล ถ้าคุยแบบแชร์แบบตรงๆ เลย คือจริงๆ แล้วผมเป็นสายที่ดูเรื่องภาพ องค์ประกอบรวม เหมือนผมจะมีทีมโคโรกราฟของผมที่ดีไซน์ท่าเต้น จริงๆ ผมก็ดีไซน์ท่าเต้นด้วย แต่ Part หลักของผม คือผมเป็นคนวางแผน เป็นคนที่ดูว่าศิลปินออกมาปุ๊บควรทำท่าเต้นแบบไหน MV ควรมีแบบนี้ มุมแบบนี้ ใช้กล้องประมาณนี้ การถ่ายแบบนี้ หรือเวลาออก Event ต่างๆ ท่าเต้นแบบไหนตอบโจทย์กับคนดู ท่าเต้นแบบไหนตอบโจทย์กับ Performance ของศิลปินครับ แล้วทีมก็มาดีไซน์บนเส้นทางที่ผมวางเนี่ยแหละ คือเรียกว่ามันเป็นที่ทำขนาดหนึ่งด้วยกัน แบบขนาดใหญ่”

อย่างคุณเองประสบความสำเร็จมากๆ ในสายงานด้านบันเทิง ล่าสุดก็เป็นกรรมการตัดสินการเต้น เป็นมาอย่างไร?

“มันเริ่มจากจริงๆ ผมได้รับคำเชิญจากเกาหลีมา ยอมว่าก็น่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน จริงๆ ถ้าสารภาพอีกเรื่องหนึ่งเลยคือ แรกสุดๆ เลยผมเป็นคนไม่ถนัด K-pop เลย เราอยู่ในสายการเต้นแบบ Hip-Hop หรือแบบฝั่งยุโรปหมดเลย แล้วก็เหมือนมีคนคิดว่าผมถนัดการเต้นแบบฝั่ง K-pop จากนั้นก็พาเราไปตรงนั้น แล้วเราก็ดูแบบทดสอบต่างๆ คือเราก็แข่งเต้นมาก่อน แล้วในการแข่งเต้นมันมีคำอธิบายหลายๆ อย่าง ที่เรารู้สึกว่ามันหลายแขนง หลายสิ่งหลายอย่างหลายความเห็นมากเลย ผมเลยอยากรู้ว่าแก่นแท้ของแกนกลางของการตัดสินเนี่ย หรือมุมมองที่มันเป็นตรงกลางจริงๆ เนี่ย มันเป็นอะไร ซึ่งประเทศเกาหลีเป็นประเทศหนึ่งที่สอนผม เหมือนสร้างให้ผมเป็นคนตรงนั้นได้ ว่าเรามองโดยปราศจากความคิดหลายๆ อย่าง แล้วเรามองด้วยความเป็นกลาง ซึ่งถามว่าเราได้ถือเซอร์ตรงนี้มา เราภูมิใจในตัวเองก่อนอย่างแรก เรารู้สึกว่าเซอร์เนี่ย เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอันหนึ่งมากๆ สำหรับผมและก็ทีมครับ เพราะทุกวันนี้เราได้การเติบโต ได้โอกาสหลายสิ่งหลายอย่างจากเซอร์ตรงนี้ครับ”

แนวทางถนัดของคุณคือ American Hip-Hop กับอีกแบบหนึ่งคือ K-pop การเต้นทั้งสองอย่างเสน่ห์ของมันคืออะไร? 

“ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่า ในเรื่องของการเต้น สาย Hip-Hop หรือ K-pop จริงๆ มันคือ on base บนสไตล์เดียวกัน คือสไตล์ Hip-Hop คำว่า K-pop เนี่ยมันคือแนวของเพลงครับ เหมือนเรากำลังเต้น Hip-Hopในเพลงของ K-pop แต่ว่าทีนี้เนี่ย คำว่า K-pop จุดขายมันไม่เหมือนกัน ในสายของ Hip-Hop ส่วนมากเน้นในสายของหลักการและเทคนิค เรียกว่าสกิลของผู้เรียนหรือผู้เต้นให้ได้มากที่สุด on base ของดีไซน์ในเชิงเทคนิคบน Meaning ของเพลง แต่ในขณะเดียวกันของ K-pop มันจะเป็นการสร้าง Performance บนการเป็น Entertainment Viral คือเราจะทำยังไงดูรู้สึกยังไงแล้วชอบ ดูแล้วจำได้ ในขณะเดียวกันส่งเสริมให้ศิลปินเก่ง แล้วเราอยากมีส่วนร่วมกับท่าเต้นนั้นให้มากที่สุด คือการดีไซน์ชิ้นงานมาบนความบันเทิง”

ความชอบเรื่องการเต้นของคุณ เกิดขึ้นจริงจังหลังจากนั้นไหม หรือเกิดขึ้นตอนไหนกันแน่?

“จริงๆ ความชอบมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่มันตอบยากมาก เรื่องเต้นมันเข้าในชีวิตผม 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนประมาณ 13-14 ปี คือแม่ผมเห็นลูกๆ ติดเกม ก็เลยจับไปเรียนเต้น ก็เลยเป็นที่มาของครอบครัวผมที่เต้น ไม่ว่าจะเป็นพี่ชาย น้องชาย น้องสาว แต่ผมคือคนเดียวที่ไม่เอา แต่ว่าไปเรียนอยู่ประมาณ 3 ครั้ง ไปเรียนคลาสเต้น ที่ตอนนั้นโรงเรียนชื่อว่า บ้านสี่ศิลป์ แต่ปัจจุบันไม่อยู่แล้ว ตอนนั้นไปเรียนอยู่ประมาณ 3 ครั้ง ผมว่าผมไม่เอาละ ผมไม่ชอบ ผมก็ไปเฟ้นหาชีวิตของตัวเอง ไปทำนู้นนี่นั่น เอาจริงๆ ผมพูดตรงๆ เป็นคนชอบทำอะไรเอง ต่างจากคนในบ้านนิดหนึ่ง จนมาช่วงก่อนจบ ม.ปลาย ช่วงประมาณ ม.5 ปลายๆ ม.6 ต้นๆ ก็เพื่อนชวนทำชมรมเต้น โรงเรียนสตรีวิทยา 2 แต่จะหนีก็หนีไม่พ้น ความที่คนทุกคนรู้ว่าที่บ้านผมทุกคนเต้นกันหมด ก็เลยคิดว่าแบงค์ก็ต้องเต้นได้เหมือนกัน ก็เลยทำชมรมเต้น เลยสร้างชมรมขึ้นมา คนที่ร่วมสร้างชมรมเต้นขึ้นมา ก็ยังเป็นครูในทีมผมปัจจุบันนี้เลยนะ พอสร้างขึ้นมา ตอนนั้นเนี่ย ก็เต้นกันเอาสนุก เลยรู้จักกับการเต้นมากขึ้น”

“จากนั้นพอดีบ้านผมเคยประสบปัญหาล้มละลายมาก่อน ช่วงนั้นผมเลยอยากหารายได้ให้กับตัวเองแล้วก็ชอบทำงานมากๆ ผมไปขอสอนเต้นแถววัชรพล ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่ให้สอน เพราะเรายังเป็นเด็ก ม.ปลาย อยู่เลย ใครเขาจะให้สอน จังหวะโชคดีครับ เจอครูคนหนึ่งที่เขาเป็นครูสอนเต้นอยู่ในนั้น ชื่อว่า “ครูโอ๊ต” ถ้าเกิดทุกคนเสิร์ชจะรู้เลยว่าแกเป็นครูสอนเต้นรุ่นก่อนหน้านี้ จากนั้นแกเป็นคนที่มอบโอกาสให้ผม เหมือนลองให้ไปสอนไปดูที่สตูดิโอของแก ครูโอ๊ตเป็นคนที่เรียกว่าเป็นคนที่ถ่ายทอดวิชาแล้วก็เปิดโอกาสให้ผมได้เป็นครูสอนเต้น ได้สัมผัสการเป็นครูสอนเต้นครั้งแรก จากนั้นเป็นต้นมา เสร็จปุ๊บเจอคนที่ 2 เขาชื่อพี่เปิ้ล ที่ให้ผมรู้จักการเป็นครูสอนเต้น ทีนี้พอเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ได้ทำครูสอนเต้นแล้ว เหมือนเราก็ลองหาอย่างอื่นทำ เพราะว่าเราไม่รู้เราชอบที่สุดหรือเปล่า แล้วผมก็แบบเป็นคนที่ตั้งใจว่าจะเรียนจบให้เร็วที่สุด แล้วก็ทำงานให้เร็วที่สุด เพราะไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ว่าเราก็จะไม่ได้แบบฮาร์ดคอถึงขั้นที่ว่าไม่เรียนละ ทำงานเลยดีกว่า อันนั้นก็เรียกว่าโหดไปนิดหนึ่งครับ ก็ตั้งใจเรียนจนจบมาได้ แต่ว่าช่วงนั้นเราก็หาดูทำมาหลายอย่างมาก ช่วงที่สอบเข้ามหา’ลัย ผมลองมาทุกอย่างเลยครับ ไปสอบเชฟ ที่ทำเพราะผมชอบทำอาหาร แต่สอบไม่ผ่านเพราะภาษาอังกฤษไม่ได้ (ยิ้ม) และด่านต่อมาก็ไปสอบนิติฯ เพราะเป็นคนชอบพูดแล้วก็ชอบเถียง เผื่อเป็นทนาย ซึ่งก็ตามสภาพครับ ก็ไม่รอดเหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วก็มาลองดูอีกสายหนึ่งที่เราโอเค ก็คือสายนิเทศศาสตร์ จริงๆ ผมได้ร่วมงานกับค่าย GDH มาก่อนด้วย ได้อะไรเยอะมากครับ”

อย่างการทำงานกับน้องชาย แบมแบม กันต์พิมุก หรือ แบมแบม GOT7 เป็นมาอย่างไร?

“จริงๆ ต้องเล่าก่อนว่า ผมทำงานกับเกาหลีอยู่แล้ว ผมทำอะไรด้วยตัวเองครบหมดอยู่แล้ว เราก็จะเห็นในไอจีว่าผมแบบไปประชุมกับรัฐบาลเกาหลี ซึ่งตรงนั้นมันไม่ใช่พาวเวอร์ของน้องชาย และก็มีส่วนหนึ่งที่อยากแชร์ตรงๆ ผมทำงานกับน้องชายเนี่ย ผมจ่ายค่าตัวน้องครบนะ (หัวเราะ) คือเวลาเราทำงาน เราทำงานกันจริงๆ เมื่อก่อนเคยกดดัน เรียกว่าเป็นความน้อยใจดีกว่า ทำอะไรมาคนก็บอกเป็นเพราะน้องอะไรแบบนี้ เรียกว่าเหมือนเราทำอะไรแล้วคนเห็นเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ทุกวันนี้เรื่องนั้นมันเบาลง คนเห็นแล้วว่าเราทำได้จริงๆ ซึ่งก็โอเคครับ เหมือนพอเราโตขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เราสนใจมากขนาดนั้น”

มันทำให้เรามีภูมิเยอะขึ้นกับโซเชียลและการคิดเห็นต่างๆ ที่มาถึงคุณ มันทำให้เข้าใจมากขึ้นหรือเปล่า?

“เมื่อก่อนเราไม่มีภูมิคุ้มกันด้านโซเชียลเลย วางตัวไม่ถูก ทำอะไรแปลกๆ ตามสไตล์คนแบบแบงค์ พอวันหนึ่งได้เข้ามาทำงานจริงๆ เราก็เติบโตขึ้นตามกาลเวลา เราก็เริ่มแยกแยะได้เองครับ ประมาณนั้น ซึ่งช่วงหลังๆ ก็โอเคครับ แยกแยะได้แล้ว”

แล้วอย่างแบมแบมเองให้กำลังใจมั้ย?

“เราให้กำลังใจกันอยู่ตลอดครับ เราเป็นพี่น้องที่คุยกันตลอดทุกเรื่องครับ คุยกันบ่อยมากๆ ยังเป็นพี่น้องที่สนิทกัน แล้วก็ต่างคนอยากได้อะไร ก็บอกกันตลอด หรือใครอึดอัดเรื่องไหนอะไรยังไง อย่างเช่น น้องเขาก็ถามผมตลอดว่า บริษัทเป็นไงบ้างอะไรยังไง ผมก็เล่าให้เขาฟัง แล้วผมก็ถามน้องตลอดเป็นไงไปไงคอนเสิร์ต ทำเพลงมา ออกเต้นตอนนี้ขาเจ็บเหรอ ก็คุยกันตามประสาพี่น้องปกติ”

อย่างในอนาคตยังอยากทำอะไรที่เป็นของเราเอง นอกเหนือจากธุรกิจตัวนี้มั้ย?

“จริงๆ ถ้าคุยตรงๆ อยากมีชีวิตแบบคนทั่วๆ ไป เมื่อก่อนผมจะคาดหวังว่าตัวเองต้องรวย เพราะว่าชีวิตนี้เราผ่านมาสองรูปแบบ ทั้งตอนที่เรามีเงิน ผ่านจุดที่โอเคและผ่านจุดที่ต่ำที่สุดมาแล้ว พอเราทำงานในวงการเราเห็นคนในรูปแบบหลากหลายมาก รู้สึกว่ารวยเป็นทางเลือกที่ดีครับ ในวันนี้อาจจะเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ผมอยากมีชีวิตปกติที่เรียกว่าตื่น 9 โมงก็ได้ ตื่น 10 โมง 11 โมง ไปทำงานแต่เลิกดึกหน่อยไม่เป็นไร สายงานเราเลิก 5 โมงเย็นไม่ได้ (หัวเราะ) มีวันหยุดไปเที่ยว มีอะไรแบบนี้ครับ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีบ้าน 50 ล้าน 100 ล้าน ครับผม ผมขอแบบมีบ้านหลังหนึ่ง มีรถที่อยากได้สักคันหนึ่ง ผมเป็นคนชอบรถมาก ผมชอบทุกสิ่งที่เรียกว่ายานพาหนะ ตามสไตล์ผู้ชายครับ เป็นคนที่ฝันว่าอยากจะมีรถในดวงใจ”

มาถึงเรื่องราวของความรักที่หลายๆ คนอยากรู้มากๆ ว่าคุณมีแฟนหรือไม่?

“จะบอกว่าไลฟ์ใน IG คนถามเยอะมากเลย เราก็ไม่ได้บอก เป็นคนที่เปิดเผยเรื่องแบบนี้น้อยมาก แต่วันนี้มาถึงนี่แล้ว รับปากจะตอบให้ (ยิ้มหวาน) ตอนนี้ยังโสดอยู่ ผมโสดแต่ละครั้ง ผมทิ้งช่วงเยอะ ผมไม่ใช่เปิดใจยากครับ เราอาจจะมีเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วย ผมเป็นคนที่เรารู้ว่าในนาทีนั้น เราพร้อมไม่พร้อม เรียกว่าเป็นบทเรียนดีกว่าในทุกๆ ครั้งที่เรามีความรัก แล้วถ้ามันล้มเหลว ผมพยายามเรียนรู้สิ่งๆ นั้นให้มากที่สุด ก่อนจะมีคนต่อๆ ไป”

แต่ไม่ถึงขั้นเข็ดกับความรักใช่ไหม?

“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ ถามว่าทุกวันนี้มองหามั้ย ก็มองครับ แต่ไม่ใช่แนวกระโดดไปจีบคนนู้นคนนี้ผมไม่ครับ”

สเปกของคุณเป็นคนแบบไหน จะเป็นคนไทย หรือ ต่างชาติ?

“ก่อนหน้านี้ผมชอบคนไทย ไม่ชอบคนต่างชาติเลย ผมชอบคนไทยที่อายุน้อยกว่า เราชอบการดูแลคนถ้าเราคุยตรงๆ เหมือนผมเป็นคนที่มีทัศนคติความรักเรื่องประมาณว่า จะมีตัวเองทุกอย่างให้ครบก่อน ผมไม่ได้ตามหาจิ๊กซอว์ที่หายไปอะไรไป ผมมองว่าคนที่จะเข้ามาอยู่ข้างๆ ผม ก็เป็นกำไรในชีวิตผม ผมไม่ต้องสนใจว่าวันนี้เราจะเติบโตด้วยกันยังไง ผมก็จะตอบว่าผมมีทุกอย่างให้ครบแล้ว แล้วผมจะได้อยู่กับเขาในฐานะคนรักจริงๆ เราจะเข้าใจกัน แล้ววันหนึ่งที่ผมมีปัญหา เรียกสติให้ผมได้เฉยๆ แค่นี้เลยครับ”

“ส่วนตัวผมเป็นคนที่คบกับคนอายุเยอะกว่าไม่ได้ มันอธิบายได้ยากมาก เคยมีคนหนึ่งคุยแล้วอายุเยอะกว่า เรารู้สึกว่ามันไม่ได้จริงๆ ครับ แต่จะชอบที่อายุเท่ากัน หรือน้อยกว่า เพราะเราชอบเทคแคร์ ย้อนกลับไปปีหนึ่ง ในตรงนั้นเป็นภาวะที่กดดันหลายอย่างมาก บริษัทของตัวเอง กดดันค่ายเพลง เพราะว่าเราก็ต้องทำตรงนั้นให้ได้ดีครับ แล้วเวลาผมก็ไม่มีเวลา เหมือนพอความเครียดสะสม ความเหนื่อยสะสม เรากลับรู้สึกว่าเราไปถอยเรื่องของเขาลง ผมเลยรู้สึกว่ามันก็เป็นความผิดพลาดสำหรับผม แล้วเราก็ไปทำแย่ๆ ใส่เขา พอเขาไป เราก็เพิ่งนึกได้ว่าเราเสียสิ่งที่ดีที่สุดไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง ถามว่ารู้ตัวเร็วมั้ยก็ไม่ครับ สายไปตลอดก็มีเหมือนกัน”

วันนี้ก็ยังแฮปปี้กับความโสดอยู่?

“ก็ยังแฮปปี้ครับ แต่ก็หาเหมือนกันนะ ไม่ได้กว้านหา เราก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษเลยครับ เราก็รอดูว่า ถ้ามีโอกาสได้แก้ตัวกับคนเก่าก็โอเค แต่ถ้าเกิดจะมีคนใหม่ที่เดินเข้ามาดีๆ ผมก็ยินดีเหมือนกันประมาณนั้น”

คาดหวังเรื่องการแต่งงานไหม?

“จริงๆ ผมมีลูปในใจ อยากแต่งงานในแบบขีดสุดท้ายที่เราแต่งงานได้ครับ 39-40 ปีประมาณนั้น อันนี้แบบเรื่องจริงเลย ผมเป็นคนที่ไม่อยากแต่งงานเร็ว แต่ว่าถ้าเกิดถึงคราวที่ต้องมานั่งเปลี่ยนแปลง ในอนาคตอีกทีหนึ่งครับ ผมแค่รู้สึกว่าผมยังไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเลย มันจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมจะได้ทำตรงนั้น แต่ขอใช้ชีวิตก่อน ก่อนที่จะไปใช้ชีวิตในโหมดครอบครัว ถ้าเราเปลี่ยนไปเป็นบทครอบครัวแล้วหลายอย่างก็ไม่เหมือนเดิม เราก็จะมีขีดจำกัดแล้ว เราจะไปเที่ยวหรืออะไรเราก็ต้องอิงครอบครัว เรารู้สึกว่าเรายังใช้ชีวิตก่อนหน้านี้ยังไม่ครบเลย”

ถ้าอยากติดตามและพูดถึงกับคุณได้ที่ไหนยังไงบ้าง?

“ถ้าติดต่องานก็มาที่ B House Studio ได้เลยครับ คือผมไม่ใช่คนหาตัวยากด้วยนะ (หัวเราะ) หรือจะ DM ทักเข้ามาก็ได้ หรือเข้ามาติดต่อที่สำนักงานของผมเลยก็ได้ครับ ที่รามอินทรา อยู่เลยตลาดเลียบด่วนรามอินทราไปนิดหนึ่ง ก่อนขึ้นทางด่วน หรือติดตามไอจีผมได้ที่ @c_bhuwakul. เข้ามาติดตามได้ แต่อาจจะอัปเดตอะไรน้อยนิดหนึ่ง ผมเป็นคนไม่ชอบเล่นโซเชียลครับ”

จริงๆ ต้องบอกว่าเราได้เห็นความเป็นไปและตัวตนของหนุ่มแบงค์ ในมุมที่เราไม่เคยได้รู้เยอะมากๆ และที่ทำให้เราประทับใจที่สุด คงหนีไม่พ้นความพยายามและความตั้งใจขั้นสุดของเขาในทุกเรื่อง เชื่อว่ามันจะทำให้หลายๆ คนมีแพสชั่นในการเดินหน้าหาความฝัน หาตัวตนของตนเองแน่นอน


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย “yimyim”