สำหรับคอหนังฮ่องกงยุคบุกเบิกในไทย ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก 2 ซูเปอร์สตาร์อย่าง “เหลียงเฉาเว่ย” และ “หลิวเต๋อหัว” อย่างแน่นอน ทั้งคู่ถือเป็นพระเอกขวัญใจชาวไทยยุค 80 90 และ 2000 สำหรับ เหลียงเฉาเว่ย ผลงานสร้างชื่อในไทย ได้แก่ “กอดคอกันไว้อย่าให้ใครเจาะกะโหลก” (Bullet in the Head), “ทะลักจุดแตก” (Hard Boiled), “เข้าแก๊งค์ไหนหัวหน้าตายหมด” (Days of Being dumb), “ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง” (Chungking Express), “เล่ห์ราคะ” (Lust,Caution) ส่วน หลิวเต๋อหัว ผลงานสร้างชื่อในไทย คือ “ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ” (A Moment Of Romance), “เจาะเหลี่ยมกะโหลก” (Casino Raiders), “ตายกี่ชาติก็ขาดเธอไม่ได้” (เราเลยไม่ยอมตาย) (Saviour of the Soul), “คู่ตุ้ยนุ้ยพิสดารมหัศจรรย์” (Love on a Diet), “จอมใจบ้านมีดบิน” (House of Flying Daggers)

แต่ที่เป็นผลงานระบือโลกในการประชันบทบาทกันของทั้งคู่ ก็คือ “2 คน 2 คม” (Infernal Affairs)

และนี่คือการกลับมาปะทะฝีมือด้านการแสดงกันอีกครั้งของ เหลียงเฉาเว่ย (61 ปี) กับ หลิวเต๋อหัว (62 ปี) ในรอบ 20 ปีกับ “โคตรพยัคฆ์ชน คนมือทอง The Goldfinger” ที่ได้ “เฟลิกซ์ ชอง” (ผู้เขียนบท Infernal Affairs ทั้ง 3 ภาค) มาเขียนบทและกำกับหนังเรื่องนี้

The Goldfinger เป็นภาพยนตร์ที่มีฉากหลังเป็นฮ่องกงยุค 80 ในช่วงที่อังกฤษกำลังจะคืนเกาะฮ่องกงให้แก่จีน เล่าเรื่องการเฉือนคมในวงการธุรกิจของ ชิง ยัด ยิน (เหลียงเฉาเหว่ย) ประธานบริษัท คาร์เมน เอนเตอร์ไพรส์ ผ่านการถูกสอบสวนโดย หลิว ไค หยวน (หลิวเต๋อหัว) ผู้อำนวยการสืบสวนสอบสวนอาวุโสของ ICAC (คณะกรรมการอิสระต่อต้านการคอรัปชั่นของฮ่องกง) เพื่อจะเอาผิด ชิง ยัด ยิน มารับโทษตามกระบวนการยุติธรรมให้ได้ โดยหลิว ไค หยวน ได้ติดตามเส้นทางการทำธุรกิจของ ชิง ยัด ยิน และบริษัทตลอด 15 ปี ที่ใช้แผนการธุรกิจต่าง ๆ ทำให้บริษัทเจริญเติบโตรุ่งเรือง และเมื่อตลาดหุ้นตก ธาตุแท้ของบริษัทคาร์เมนก็ถูกเปิดเผย สิ่งที่ดูเหมือนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงของการทุจริตที่มีรากหยั่งลึก ซึ่งถูกสร้างอยู่บนคำหลอกลวงซ้อนคำหลอกลวง โดยที่ หลิว ไค หยวน ไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะพบกับการต่อสู้อันยาวนาน กับการทุจริตที่จะมีค่าใช้จ่ายหลายร้อยล้าน เป็นตัวจุดชนวนเริ่มการสืบสวนนับร้อยคดีที่เกี่ยวพันกับหลายชีวิต และทำให้เขาต้องพัวพันกับเรื่องนี้ไปอีกหลายปี

จุดแข็งของ The Goldfinger

สำหรับแฟนหนังฮ่องกง แค่ได้ดู “เหลียงเฉาเว่ย” กับ “หลิวเต๋อหัว” กลับมาขึ้นจอร่วมกันอีกครั้ง ก็ฟินจนตัวแตกแล้ว แต่หนังยังจัดหนักจัดเต็มส่งอีกหนึ่งดาราในตำนานอย่าง “เยิ่นต๊ะหัว” มาร่วมประชันบทบาทอีกหนึ่งคน พร้อมด้วย “อาซา” นักแสดงและนักร้องสาวสวย จากวงดูโอหญิงในตำนาน “ทวินส์” คู่กับ “อาเจียว” ทำให้ The Goldfinger สุดจริง อะไรจริง

ด้านงานโปรดักชั่นจัดเต็มสุด ๆ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนย้อนเวลาไปในยุค 80 จริง ๆ มีการทำ CG ให้ 3 พระเอกตลอดกาล “เหลียงเฉาเว่ย-หลิวเต๋อหัว-เยิ่นต๊ะหัว” กลับไปหล่อเหมือนตอนหนุ่ม ๆ ที่จะทำให้แฟนหนังฟินแล้วฟินอีก

พลังการแสดงอันล้นทะลักของแทบทุกตัวละคร โดยเฉพาะ เหลียงเฉาเว่ย ที่บทเด่นกว่าใครเพื่อน ออกเยอะสุด และก็จัดหนักจัดเต็มจริง ๆ ส่วน หลิวเต๋อหัว กับ เยิ่นต๊ะหัว แม้บทจะน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นน้อยกว่าเลย ดาราสมทบอย่าง ไมเคิล หนิง ก็ทำได้ดีมาก ๆ ทำให้ตัวละครของเขาเป็นที่จดจำไม่แพ้ อาซา

จุดอ่อนของThe Goldfinger

หนังอาจดูยากเกินไป สำหรับคนที่ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นของฮ่องกงและโลก มีบทสนทนาเยอะมาก แทบจะทั้งเรื่อง มีฉากแอ็คชั่นน้อย ทำให้น่าเบื่อไปสักหน่อย

3.5/5
นี่คือภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคดีสุดอื้อฉาวทางการเงินของกลุ่มบริษัทคาร์เรียน กรุ๊ป (Carrian Group) ที่ล่มสลายจากการฉ้อโกง และการพัวพันกับคดีฆาตกรรมนักบัญชีของธนาคาร ในปี 1983 ที่ถือว่าเป็นคดีล้มละลายที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฮ่องกง แนะนำให้ดูพากย์ไทย เพราะได้ทีมพากย์อย่าง น้าติ่ง สุภาพ ไชยวิสุทธิกุล ที่เคยให้เสียง เหลียงเฉาเหว่ย และ อาโอ๊ต จักรกฤษณ์ หาญวิชัย ที่เคยพากย์เสียง หลิวเต๋อหัว มาแล้วหลายเรื่อง มาทำหน้าที่อันคุ้นเคยอีกครั้ง น่าเสียดายที่หนังมีบทพูดมากเกินไปหน่อย ทำให้น่าเบื่อในบางช่วง สำหรับคนที่เป็นแฟนคลับของ เหลียงเฉาเว่ย, หลิวเต๋อหัว, เยิ่นต๊ะหัว และ อาซา ห้ามพลาดจริง ๆ แต่ถ้าคุณเกิดไม่ทันยุคทองของ 3 คนนี้ และไม่ได้ชื่นชอบอะไรทั้งสามเป็นพิเศษ รวมทั้งไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ด้านการเงินฮ่องกง ก็ข้ามเรื่องนี้ไปก็ไม่ได้เสียหายอะไร

หมีเช