ซินเจียอยู่อี่ซินนี้ฮวดใช้คนไทยเชื้อสายจีนตั้งโต๊ะไหว้บูชาบรรพบุรุษกันอย่างคึกคัก ในเทศกาลตรุษจีน ท่ามกลางการรณรงค์งดเผาให้ใช้ธูปเทียนไฟฟ้าแทนการจุดธูป ลดมลพิษ ฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 ลดเสี่ยงการเกิดเพลิงไหม้

กูรูเศรษฐกิจออกมาบอกช่วงตรุษจีนปีนี้คึกคักมีเงินสะพัดกว่า  4.9 หมื่นล้านบาท สูงขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบปีที่แล้วถือว่าสูงสุดในรอบ 11 ปีนับแต่ 2556 

แต่ในสภาพการเมืองไทยในตอนนี้กลับดูห่อเหี่ยว ยังคงอยู่ในดงฝุ่นตลบโดยเฉพาะ “รัฐบาลเศรษฐา” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ที่ต้องเจอแรงกดดันรอบด้าน ตั้งแต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% ต่อปี สวนทางกับเป้าประสงค์ของ“นายกเศรษฐา” ต้องการให้ประกาศลดดอกเบี้ย

แต่ที่เด็ดสุดเห็นทีจะเป็นเรื่องโครงการเงินดิจิทัลวอล์เล็ตแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายเรือธง ที่ล่าสุดเจอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ร่อนคำเตือน 61 หน้า  สะเทือนทั้งตึกไทยคู่ฟ้า กระตุกรัฐบาลให้ระมัดระวัง ชี้ว่าเศรษฐกิจไม่ถึงขั้นวิกฤติปิดประตูกู้เงินให้รัฐบาลใช้งบปกติ

โดยโครงการนี้ ป.ป.ช.ชี้ว่า ป.ป.ช.มีอำนาจให้ข้อเสนอแนะตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 32 ในการเสนอมาตรการและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) ปรับปรุงการปฏิบัติราชการวางแผนโครงการหน่วยงานรัฐ เพื่อป้องกันปราบปรามทุจริต เพราะนโยบายดังกล่าวใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน อาจสร้างภาระการคลังระยะยาว ให้พึงระวังความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เพราะมีประเด็นสำคัญ 4 ประเด็นที่เกิดความสุ่มเสี่ยง

 คือ 1.ความเสี่ยงการทุจริต อาทิ ความเสี่ยงทุจริตเชิงนโยบาย ความเสี่ยงทุจริตจากกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินจากโครงการ 2.ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ การดำเนินนโยบายรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าความจำเป็น ตลอดจนผลกระทบภาระการเงิน การคลังในอนาคต กรณีมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤติ ควรจัดลำดับความสำคัญพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จึงอาจเป็นทางเลือกที่ไม่ส่งผลกระทบทางการคลัง โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนหนี้สาธารณะได้มากกว่า 3.ความเสี่ยงด้านกฎหมาย อาทิ รัฐธรรมนูญปี 2560 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ร.บ.เงินตรา รัฐบาลต้องระมัดระวังอย่างเคร่งครัด รวมทั้งแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส ปราศจากทุจริต 4. การกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลในการเพื่อป้องกันการทุจริตนโยบายดังกล่าวอีก 8 ข้อ ที่รัฐบาลต้องไปศึกษาดำเนินการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตหรือความเสียหายต่อประโยชน์รัฐหรือประชาชน

ทำเอา “นายกฯเศรษฐา”ออกมาน้อมรับข้อเสนอแนะ พร้อมจะชงให้คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet  ตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันการทุจริต และดูแลเรื่องผลประโยชน์อย่างสูงสุดของพี่น้องประชาชน โดยสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่อีกทีหนึ่งและหลังจากนั้นก็จะมีการแถลงใหญ่ แต่ก็ยังเหน็บป.ป.ช เรื่องนโยบายแจกเงินให้ใครบ้างเป็นเรื่องของรัฐบาล ส่วนป.ป.ช.มีหน้าที่ดูเรื่องการทุจริตและเสนอมาให้รัฐบาล ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รัฐต้องคำนึงถึงพึงระมัดระวังและน้อมรับ

งานนี้จะเห็นได้ว่าการเดินหน้านโยบาย “รัฐบาลเศรษฐา” เลี่ยงการลุยไฟ ไม่พาตัวเอาไปตกม้าตายในภายภาคหน้า แต่ก็อย่าลืมว่าคนทั้งประเทศรออยู่ ถือเป็นแรงกดดันที่มากมหาศาล ถ้าทำให้คนผิดหวังคะแนนเสียงก็หล่นวูบทันทีถือเป็นทางสองแพร่งที่รัฐบาลต้องเลือกว่าจะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ โดยยอมเสี่ยงกับวิบากกรรมที่จะตามมาภายหลังเหมือนโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่

ขณะเดียวกัน นโยบายเรือธงของ “รัฐบาลเศรษฐา”อีกเรื่องคือ “ซอฟต์ พาวเวอร์” ที่ตอนนี้มีสภาพเหมือนติดหล่มยังก้าวไปไม่ถึงไหน ต้องเจอเหตุการณ์กับอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ 24 คนประกาศลาออกยกทีม มีผล 1ก.พ.ยังไม่รวมกับกระแสกางเกงช้าง ที่โดนจีนฉกออร์เดอร์ไปผลิตแล้วส่งสินค้าเข้ามาถล่มตลาดไทย จนบางคนเรียกกางเกงช้างว่า กางเกงช้างเซินเจิ้นทำไทยเสียโอกาส ทั้งที่ก่อนหน้ารัฐบาลได้สั่งตีปี๊บ กางเกงช้างเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทย

ถือเป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องแก้ไม่ใช่แค่เรื่องลิขสิทธิ์ ต้องทำให้ทั้งเงินที่จะเกิดในกระบวนการผลิตและการจำหน่ายต้องตกอยู่กับคนไทย

แต่ปัญหาหนักที่ดูจะเป็นวิบากกรรมที่แท้จริงก็น่าจะเป็นเรื่องของคนชั้น 14 ในกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” ที่เข้าเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเกณฑ์พักโทษกรณีพิเศษในช่วงวันที่ 18 ก.พ.นี้ เพราะได้จำคุกครบ 180วัน หรือ 6 เดือน อีกทั้งเป็นนักโทษที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปมีความเจ็บป่ายร้ายแรง

แต่กลับมาเจอบ่วงกรรมคดี มาตรา112 ที่อัยการสูงสุดมีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายทักษิณ เมื่อวันที่ 19ก.ย.2559 ฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อวันที่ 21พ.ค.2558

 โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น คือ ทักษิณไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ ที่เกาหลีใต้ ในช่วงยุคคสช.เรืองอำนาจ จนเกิดเป็นผลพวงคดีความตามมาหลอกหลอนจนถึงปัจจุบัน

เรื่องนี้ทางอัยการได้แจ้ของกล่าวหาแก่ “ทักษิณแล้ว แต่ตามสเต็ปก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะการกลับมาของ “ทักษิณ”อย่างเท่ห์ ๆ โดยไม่ติดคุกสักวันก็ทำมาแล้ว โดยมีองคาพยพทุกภาคส่วนร่วมด้วยช่วยกัน จึงเป็นเรื่องที่ตำตาตำใจของฝ่ายตรงข้าม

มาครั้งนี้ตามสเต็ป หลัง “ทักษิณ” ได้พักโทษจะมีพนักงานสอบสวนเข้าไปอายัดตัวทันทีแล้วส่งตัวให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการต่อ แต่ในที่สุดจะได้ประกันตัวกลับไปลุ้นคดีอย่างเท่ห์ๆที่บ้าน

แต่เกมนี้ มีนักวิเคราะห์ ฟันธงว่า เป็นการเอาทักษิณเป็นตัวประกันโดยใช้ตราบาป มาตรา 112 เป็นโซ่ตรวนป้องกันการพลิกขั้วเปลี่ยนข้างท่ามกลางการเมืองที่พลิกผัน เพราะกฎเกณฑ์การเมืองสามารถพลิกผันได้ตลอด 

วันก่อนพรรคเพื่อไทยยังจูบปากอยู่กับพรรคก้าวไกล มาวันนี้เปลี่ยนข้างมาจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลกลุ่มอนุรักษ์นิยมจัดตั้งรัฐบาลสูตรพิสดารที่เข้ามาบริหารงานกันอยู่ในเวลานี้ ดังนั้นกระดานการเมืองในวันข้างหน้าอะไรก็เกิดเกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรที่แน่นอน

ขณะที่พรรคก้าวไกลยังคงว้าวุ่นอยู่กับนิติสงครามหลังศาลรัฐธรรมนูญฟันเปรี้ยงด้วยมติเอกฉันท์ ชี้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น และพรรคก้าวไกล กระทำการเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์หรือล้มล้างการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อน ทำลายสถาบันให้ชำรุดทรุดโทรม สั่งให้เลิกการกระทำในการแสดงความเห็นทุกช่องทาง ในการให้ยกเลิกมาตรา 112  และหากจะมีการแก้มาตรา 112 ก็ ต้องทำด้วยวิธีการ ซึ่งเป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ

ตามมาด้วยดาบ 2 ศาลแขวงปทุมวันพิพากษาฟัน “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ -ปิยบุตร แสงกนกกุล-ช่อพรรณิการ์ วานิช-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และจำเลยอีก 4 คน มีความผิดจัดแฟลชม็อบ 14 ธ.ค.2562 บริเวณสกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน หน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ใกล้พระบรมมหาราชวังในรัศมี 150 ม. กีดขวางการสัญจร สั่งจำคุก 4 เดือน ปรับอีกคนละกว่า 2 หมื่น โทษจำคุกให้รอลงอาญา

ทั้งหมดเป็นเรื่องของการกระทำที่ก่อให้เกิดบ่วงกรรมในวันข้างหน้าก็สุดแล้วแต่บ่วงกรรมนั้นจะหนักหนาอย่างไรใครทำอะไรไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้นแต่อยู่ที่ว่าใครจะพลิกเกมเล่นเปลี่ยนสถานการณ์ชิงจังหวะได้แค่ไหนและใครจะเอาตัวรอดได้อย่างไรต้องจับตาดูเกมร้อนการเมืองร้ายที่รออยู่เบื้องหน้า