หลายคนรู้จักชื่อของ ชาล็อต ออสติน สาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ในฐานะนางงามคู่จิ้นกับ “อิงฟ้า วราหะ” จากเวทีมิสแกรนด์ไทยแลนด์ปี 2022 ที่มีแฟนคลับติดตามมากมาย ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็ได้รับการซัพพอร์ตจากชาวด้อมอยู่เสมอ จนทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป กลายเป็น “นางงามซุป’ตาร์” และอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในชีวิตคือการได้ก้าวมาเป็นนักแสดง ขึ้นแท่นนางเอกช่อง 3  ประกบคู่กับพระเอกสุดฮอตอย่าง มิว-ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ ในละคร “มนต์รักลูกทุ่ง 2567” วันนี้คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดนัด “ชาล็อต” มานั่งเปิดใจแบบเอ็กซ์คลูซีฟ กันแบบทุกซอกทุกมุม

บท “ทองกวาว” สู้คน แตกต่างจากเวอร์ชันอื่น ๆ?

“ทองกวาวเวอร์ชันนี้จะแตกต่างจากเวอร์ชันก่อน ๆ  เพราะจะมีความแสบ ซน มากขึ้น มีความดื้อมากขึ้น ไม่ยอมคน สู้กลับ แต่ถ้าได้ดูเวอร์ชันก่อน ๆ ทองกวาวก็จะกลับมาร้องไห้ที่บ้าน ยอมโดนกลั่นแกล้ง แต่เวอร์ชันนี้สู้มาสู้กลับ เป็นผู้หญิงที่มีความคิดทันสมัย แล้วก็รักตัวเอง จริง ๆ หนูมีโอกาสดูมนต์รักลูกทุ่งมาทั้ง 3 เวอร์ชันเลย ตั้งแต่ พี่ตั้ว-ศรัณยู, พี่ป๋อ-ณัฐวุฒิ, พี่ปอ-ทฤษฎี เวอร์ชันนี้ก็จะเป็นพี่คล้าวกับทองกวาวที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน”

กดดันไหม เพราะแต่ละเวอร์ชันผ่านมาเป็นระดับตัวพ่อ ตัวแม่ทั้งนั้นเลย?

“หนูไม่กดดันแล้วค่ะ เพราะว่าถ่ายจบแล้ว (ยิ้ม) แต่ก่อนที่จะถ่ายก็กดดันนิดนึง เพราะหลายคนก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นตำนานของละครไทยเลยนะ ถูกทำออกมาในหลายเวอร์ชันมาก ๆ เราเลยต้องทำการบ้านเยอะขึ้น แล้วก็พัฒนาในเรื่องของการแสดงมากขึ้น แต่โชคดีค่ะ ที่เราได้พระเอกดี”

ร่วมงานกับพระเอกอย่าง มิว-ศุภศิษฏ์ เป็นยังไงบ้าง?

“ตอนที่เข้าฉากด้วยกันก็จะมีความเกร็งนิดนึง เพราะเป็นละครเรื่องแรกในชีวิต แต่ด้วยความที่พี่มิวมีประสบการณ์เยอะแยะมากมาย ก็จะรับส่งอารมณ์ได้ดีมาก ๆ  ทุกครั้งที่เรามองสายตาเขา จะรู้สึกว่าเขาเป็นพี่คล้าวจริง ๆ ไม่ใช่พี่มิว-
ศุภศิษฏ์”

ได้ยินเสียงชื่นชมว่าชาล็อตอึดมาก ระหว่างถ่ายทำ?

“หนูสู้ตายค่ะ เพราะโลเกชันเป็นทุ่งนา จะมีวันเดียวที่ไม่ไหวจริง ๆ คือฉากรถแห่ คือพี่คิมม่อนเป็นลมก่อนนะ หนูค่อยเป็นลมตาม (หัวเราะ) เราก็เต้นไป ร้อนเหนื่อย ข้าวก็ไม่ค่อยได้กิน เลยมีภาวะขาดน้ำตาล เลยเป็นลมกลางกอง ซึ่งพระเอกเราก็น่ารักนะคะ นั่งให้กำลังใจ เรียกพี่ ๆ ทีมงานเอาหมอน เอาเสื่อ เอาพัดลมมาให้”

ให้คะแนนการแสดงตัวเองเท่าไหร่?

“ไม่กล้าพูดเลยค่ะ ถ้าเต็ม 10 ก็ให้ตัวเองสัก 9 แล้วกัน เผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้เก็บไว้พัฒนาให้ตัวเองในอนาคต แฟนคลับห้ามให้น้อยกว่า 9 นะ”

เทียบระหว่างถ่ายละครกับประกวดนางงามอะไร โหดกว่ากัน?

“ตอนประกวดโหดกว่าค่ะ เพราะเราต้องมีมิชชั่นทุกวัน มีกิจกรรมอัดแน่นทุกวัน แต่เล่นละครเราเหมือนมาทำหน้าที่ทำการแสดงของเรา หลังจากนั้นเราก็ได้เอนจอยกับพี่ ๆ ในกองพี่ ๆ ทีมงาน นักแสดงทุกคนน่ารักมาก ๆ เรารู้สึกแฮปปี้ทุกครั้งที่จะต้องตื่นไปกองตอนตีห้า”

ได้ลองมาหมดแล้วทั้ง นางงาม การแสดง ร้องเพลง ชอบอะไรที่สุด?

“ตอบได้เลยค่ะว่าการแสดงค่ะ (ยิ้ม) จริง ๆ ในเรื่องนี้หนูต้องร้องเพลงนะคะ ก็โชคดีที่เคยเรียนร้องเพลงมาก่อนหน้านี้ อาจจะไม่ได้ร้องเพราะแบบนักร้องมืออาชีพ แต่ก็พอฟังได้  เรื่องนี้ก็ร้องทั้งหมด 3 เพลงค่ะ  มีเพลงเดี่ยว 1 เพลง  เพลงคู่กับพี่มิว 1 เพลง และเพลงรวมนักแสดงอีก 1 เพลง ก็ไปลองฟังกันได้ ไปปั่นวิวให้หน่อยนะคะ เวลาพูดถึงเรื่องร้องเพลงแล้วจะเขินมาก”

เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งตัวเองจะมาถึงจุดนี้?

“ไม่เคยคิดเลยค่ะ จริง ๆ เคยดูดวงไว้ว่าจะดังมาก ๆ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราก็คิดไว้ว่าจะดังมาก ๆ ได้ยังไง ไม่มีทางหรอก จนกระทั่งเข้ามาประกวดนางงาม เราก็รู้สึกว่าโชคดีที่มาถึงจุดนี้เร็ว แต่ก็มีสองมุม ทั้งแง่ดี และไม่ดี เราก็พยายามปรับตัวให้อยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างมีสติในทุกย่างก้าว”

ได้ทำเกือบทุกอย่างแล้ว?        

“ได้รับโอกาสเยอะมาก ๆ ค่ะ ทั้งคอนเสิร์ต ถ่ายแบบ มีเพลงเป็นของตัวเอง เล่นละคร เล่นซีรีส์  ขึ้นบิลบอร์ด มีงานพรีเซ็นเตอร์ ถ้าเรามองย้อนกลับคิดว่าตัวเองโชคดีมาก ๆ เพราะบางคนกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีก็มี ก็ต้องขอบคุณแฟนคลับที่คอยซัพพอร์ต และผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส”

2 ปีที่ผ่านมาเห็นชาล็อตตามหน้าสื่อเยอะมาก มีวิธีการจัดการกับข่าวต่าง ๆ หรือคอมเมนต์ยังไง?

“บำบัดจิตและฟังธรรมะค่ะ 2 อย่างค่ะ วันไหนที่รู้สึกว่าจิตใจไม่ไหว ก็จะขอพัก 3-4 วันเพื่อไปบำบัดจิต ประมาณ 3 วัน 2 คืน  มีนวด  มีพบจิตแพทย์  มีออกกำลังกาย อาหารการกินทุกอย่างคุมหมดเลย เป็นตารางเหมือนอยู่โรงเรียน พอกลับมาแล้วเรารู้สึกได้ว่าเราใจเย็นขึ้น นิ่งขึ้น ถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ ก็ฟังธรรมะก่อนนอน แล้วนั่งทบทวนกับตัวเอง ว่าปัญหาคืออะไรจะแก้ยังไง ถ้าแก้ไม่ได้ก็ปล่อย ก็พยายามที่จะปลงและปล่อยวางให้ได้มากที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วคือสภาพจิตใจของเรา ถ้าเราไม่รักตัวเองก็ไม่มีทางจะดีขึ้น”

ค้นพบวิธีนี้ได้ยังไง?

“ทุกครั้งที่มีดราม่าเราจะคิดว่าเรารับไหว แต่จริง ๆ ข้างในเราแตกสลายแล้ว  ต่อให้ร้อยคนให้กำลังใจ แต่เราจะไม่สามารถหายได้ถ้าเราไม่ให้กำลังใจตัวเอง เลยคิดว่าถึงเวลาที่ต้องหาอะไรที่ดีต่อใจเราบ้างแล้ว เลยให้เลขาช่วยหา เขาก็แนะนำว่าให้ไปที่นี่ไหม จะได้ไม่ต้องกินยาของคุณหมอ คือถ้าเราจะหายจากโรคซึมเศร้า เราต้องรักตัวเองให้ได้ก่อน ต้องหาในจุดที่เราสงบ และสบายใจที่จะอยู่ ซึ่งพอเราได้ไปบำบัดจิต ทำให้ได้มีเวลาห่างจากโซเชียลฯ พี่ที่บำบัดจิตก็เลยบอกว่า ถ้ารู้ว่าโซเชียลฯ ทำให้เราเครียด ก็แค่ตัดมันออก ปิดล็อกหน้าจอแล้วไปหาอะไรทำ ให้อยู่ในโลกของความเป็นจริง”

ข่าวไหนที่ทำให้เราเสียใจที่สุด?

“น่าจะเป็นข่าวล่าสุดที่มีการปล่อยภาพโดยคนใกล้ตัว ทำให้เป็นอีกหนึ่งบทเรียนว่า เราอยู่จุดนี้ไม่ควรไว้ใจใครแม้แต่คนที่สนิท เราไม่เคยคิดว่าคนใกล้ตัว หรือคนสนิทจะทำร้ายเราได้ จนกระทั่งมาเจอเหตุการณ์นี้ คือเราไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนทำ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นแผลในใจเรา เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อตัวเราด้วย ต่อองค์กร และต่อหลาย ๆ ฝ่าย ในเรื่องของงานหรือภาพลักษณ์ต่าง ๆ อาจจะติดลบไป แต่โชคดีที่ยังมีหลาย ๆ คนเข้าใจ”

ด้วยความที่มีคู่จิ้น ทำให้ยากไหม สำหรับคนที่จะเข้ามา?

“พูดได้เลยค่ะว่ายาก อย่างที่บอกว่ามันส่งผลกระทบหลาย ๆ อย่าง  ณ ตอนนี้ขอโฟกัสแค่เรื่องงานกับอนาคตก็พอ เพราะก็มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและทำให้เรารู้แล้วว่า ยังไม่ถึงเวลา โสดไปก่อนอีกสัก 10 ปี  (ยิ้ม)”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง