ด้วยเพราะ “รายได้”ของประเทศที่จัดเก็บได้ยังไม่ได้ดั่งที่คาดหวัง ขณะที่การ “บูท” เศรษฐกิจของประเทศ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย

ดังนั้นสารพัดมาตรการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ จึงต้องใช้เวลา ภาคธุรกิจจึงเกิดอาการ”ซวนเซ”ตามไปด้วยจึงกลายเป็นเหตุใหญ่ของกระแสข่าวที่อาจมีภาคธุรกิจใหญ่หลายต้องปิดตัวเองในปี 68

ที่ผ่านมา…คุณๆท่านๆได้เห็นไปแล้วว่ามีค่ายรถยนต์ 2 ค่ายที่ต้องเลิกสายการผลิตในประเทศ แล้วหันไปนำเข้าจากประเทศแม่มาขายแทน จากเหตุผลมากมายที่ไปต่อไม่ไหว

เช่นเดียวกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ เพราะเป็นภาคธุรกิจที่มีธุรกิจอื่นต่อเนื่องอีกมากมาย รวมไปถึงการว่าจ้าง “แรงงาน”

แม้ที่ผ่านมารัฐบาลของนายเศรษฐา ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจนี้เป็นอันดับต้น ๆ เห็นได้จากการออกมาตรการก๊อกแรกออกมาเมื่อต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งการลดค่าธรรมเนียมโอน การจดจำนอง การลดหย่อนภาษีเงินได้ รวมไปถึงการปล่อยสินเชื่อให้กู้ซื้อบ้าน โดยตั้งความหวังว่าจะช่วยปลุกยอดซื้อได้มากถึง 8 แสนล้านบาท และจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจโตได้อย่างน้อย 1.8%  

รัฐบาล…ได้เลือกให้มีการลดหย่อนค่าโอน-จดจำนองบ้าน ราคาไม่เกิน7ล้านบาท เป็นจุดดึงดูด  แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถปลุกตลาดให้ฟื้นชีพได้

เรื่องนี้ เป็นที่รู้กันว่าเหตุใหญ่มาจากการที่ภาคการเงินเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ เพราะเห็นว่ากำลังซื้อยังไม่มี หรือมีน้อยมาก แถมหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง

จึงสะท้อนออกมาให้เห็นในเรื่องของการปฎิเสธการปล่อยสินเชื่อ ที่พุ่งสูงถึง 60-70% แถมยังลุกลามไปถึงกำลังซื้อในระดับบนและระดับกลางด้วย

อย่างไรก็ตาม…ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดาเจ้าของโครงการจะรวมตัวเรียกร้องให้รัฐบาลของนายเศรษฐา เข้ามาอุ้มชูดูแลอีกระลอก เพราะหากปล่อยไปเช่นนี้ ปัญหาอาจลุกลามใหญ่โตมากขึ้นไปอีก

ใช่ว่า…ที่มาของนายกฯเศรษฐา จะมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องดูแลเป็นพิเศษ  แต่!! ในความเป็นจริงแล้ว ภาคสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นเครื่องยนต์หลักสำคัญของระบบเศรษฐกิจ โดยมีสัดส่วนมากถึง 20%

ว่ากันว่า!! ในเร็วๆนี้ เวทีระหว่างนายกฯเศรษฐา กับภาคอสังหาริมทรัพย์ จะเกิดขึ้นอีกรอบ  เพื่อร่วมกันถก ร่วมกันกางปัญหาที่เกิดขึ้น อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ภาคอสังหาฯได้ยกขบวนไปหารือร่วมกับนายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง มาแล้ว

หนึ่งในปัญหาที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หยิบยกให้นายพิชัย ตระหนัก ก็คือ เรื่องของการปล่อยสินเชื่อ ที่ต้องการให้รัฐบาลเจรจากับแบงก์ชาติ ให้ผ่อนคลายมาตรการแอลทีวี ให้ได้มากที่สุด

ไม่เพียงแค่เงื่อนไขของแอลทีวี เท่านั้น แต่ปรากฏว่าเวลานี้กำลังซื้อของต่างชาติ ก็กำลังเป็นปมปัญหาใหญ่เช่นเดียวกัน ที่หลายประเทศออกมาตรการห้ามซื้ออสังหาฯในต่างประเทศ

เพราะหลาย ๆ ประเทศก็เผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ไม่น้อยไปกว่าประเทศไทย เช่นเดียวกัน จึงออกหลาย ๆ มาตรการเพื่อดูแลเศรษฐกิจในประเทศ เช่นเดียวกับไทย

สัญญาณที่เห็นได้ชัดว่านายกฯเศรษฐา ตอบรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงมหาดไทย กรมที่ดิน รวมทั้งกรมการปกครอง มาหารือเพื่อหาแนวทางแก้ไข

แม้ไม่ใช่เพียงแค่การปลดเงื่อนไข ปลดปมล็อก การถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ของต่างชาติ แต่เพียงอย่างเดียว แต่ก็ถือว่า รัฐบาลก็เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นกัน

หนึ่งในข้อเรียกร้องของภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ การขยายระยะเวลาเช่าจาก 30 ปี เป็น 50 ปี รวมไปถึงการเช่าได้ 99 ปี หรือแม้แต่การขยายการถือครองกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของต่างชาติเป็น 75%

แม้แต่เรื่องของการให้การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ สำหรับที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ที่พบว่าทุกวันนี้การได้รับการส่งเสริมนั้นน้อยลง เพราะขอสินเชื่อไม่ได้โดยเฉพาะกรณีที่มีราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จึงทำให้สต๊อกล้นตลาด

ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของการลดขนาดบ้านจัดสรร รวมไปถึงการลดภาษีที่ดิน ที่กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย ได้หารือร่วมกันไปก่อนหน้านี้แล้ว

ทั้งหลาย…ทั้งปวง!! ก็ต้องมาตามติดชิดขอบจอ ว่ารัฐบาลของนายกฯเศรษฐา จะตัดสินใจอย่างไร? เพราะอย่าลืมว่า ในสัปดาห์นี้โดยเฉพาะในวันที่ 18 มิ.ย. ที่สังคมไทยต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจเป็นเหตุให้เศรษฐกิจไทยต้องจมดิ่งไปอีกหรือไม่?.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่