เผยโฉมชัดเจนชัด ๆ กันแล้ว กับครม.ของ “แพทองธาร ชินวัตร” โดยกว่า 80% ยังคงเป็นครม.หน้าเดิมต่อเนื่องมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ดังนั้นการเดินหน้าผลักดันนโยบายภายใต้ผู้นำรัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทย ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมมากนัก ตามคำกล่าวของนายกฯแพทองธาร ที่ระบุว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ยังคงสานต่อจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา อาจมีเปลี่ยน แปลงไปบ้างในรายละเอียดอย่างเช่นโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านวอลเล็ต ที่อาจต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์
เอาเป็นว่า ณ เวลานี้ หลายฝ่ายต่างรอฟังนโยบายชัด ๆ ของรัฐบาลแพทองธาร ว่าจะออกมาอย่างไรกันแน่ ชัดเจนมากน้อยเพียงใด เพราะอย่าลืมว่า ณ เวลานี้ สภาพเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนไป แม้หลายคนบอกว่าอยู่ในช่วงฟื้นตัวก็จริง แต่ก็มีปัญหาสารพัดที่ต้องเร่งเผชิญไปให้ได้ โดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่กำลังหดตัวลงไปเรื่อย ๆ จนทำให้ภาคผลิตในเวลานี้ในหลายโรงงานต้องปิดตัว ปลดคนงานไปไม่น้อยทีเดียว แถมยังมาเจอกับปัญหาน้ำท่วมเข้าให้อีก หากไม่วางแผน ไม่ทำอะไรให้ชัดเจน หรือรับมือให้ทันการก็จะมีปัญหาตามมาได้
เอกชนชงสมุดปกขาว
ดังนั้น!! จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ภาคเอกชน 3 สถาบันทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เอง ต่างต้องการที่จะยื่นสมุดปกขาวเพื่อเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาให้นายกฯและรัฐบาลชุดใหม่ นำไปประกอบการพิจารณาเพื่อจัดทำนโยบายของรัฐบาลให้ชัดเจน ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกมากมายความต้องการที่อยากให้รัฐบาลแก้ไข
จี้ดันศก.กระชุ่มกระชวย
ดูอย่าง “ทวี ปิยะพัฒนา” รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่มองว่า หน้าตาของรัฐบาลชุดนี้สดใสกว่าแต่รัฐบาลควรมีรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เพื่อขับเคลื่อนร่วมกับภาคเอกชน โดยเฉพาะการเร่งนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อภาคประชาชน ที่ก่อนหน้านี้เคยเสนอให้นายกฯแพทองธาร พิจารณาในหลายเรื่องทั้ง ค่าไฟฟ้า ที่ภาครัฐ ได้สนองตอบแล้วโดยค่าไฟฟ้าที่ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องจ่ายประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ได้รับการจ่ายคืนแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้เอกชนมีกระแสเงินสด และการทำธุรกิจคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งเดินหน้า โดยเฉพาะนโยบายช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยหลัก ๆ มาจากต้นทุนที่สูงขึ้นในทุกอย่าง ทั้งวัตถุดิบ ราคาพลังงาน ค่าไฟและน้ำมัน รวมถึงค่าแรงที่กำลังจะปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศ วันที่ 1 ต.ค. นี้ หวังว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรให้ต้นทุนเหล่านี้ต่ำลงและสามารถแข่งขันได้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบที่ยังคงสูงมาก และการทำให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ได้อย่างจริงจัง หรือแม้แต่เรื่องของการถูกสินค้าราคาถูกมาตีตลาด ส่งผลให้เอสเอ็มอีไทยแข่งขันไม่ได้ จึงอยากให้ถามมาตรการในการเข้ามาดูแลอย่างเข้มข้น และการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งเป็นปัญหา ซ้ำซากมากทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งสลับกันไปมา ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรม สุดท้ายหากนำเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้เร็วก็จะสร้างความกระชุ่มกระชวยให้เศรษฐกิจได้
หนุนเกมซอฟต์พาวเวอร์
ส่วน “เนนิน อนันต์บัญชาชัย” นายกสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย มองว่า เรื่องของเกมที่ถูกจัดเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ ก็มีแรงกระเพื่อมให้กับเศรษฐกิจไม่น้อยเช่นกัน จึงต้องเดินหน้าต่อ เพราะขณะนี้เริ่มมีกิจกรรมและงบประมาณมาสนับสนุนนักพัฒนาเกม อุตสาหกรรมเกม รวมถึงอีสปอร์ตเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลทำให้คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นต้องหมดหน้าที่ไปตามรัฐบาลชุดก่อนไปด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องเร่งผลักดันกฎหมายเกม ให้ออกมาให้ได้ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมของไทย เพราะเนื้อหากฎหมาย จะมีรายละเอียดช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในการสร้างและพัฒนาเกมใหม่ ๆ ออกมา
นอกจากนี้อยากให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเกมโดยตรง จากที่รัฐบาลชุดก่อนประกาศงบประมาณซอฟต์พาวเวอร์ที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมเกมประมาณ 300 กว่าล้านบาท จึงอยากให้มีความต่อเนื่องทุกปีและมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะที่ผ่านมางบประมาณสนับสนุนจะถูกแบ่งออกไปในหลายหน่วยงานตามพันธกิจที่เกี่ยวข้อง ทำให้กระจัดกระจายส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องติดต่อไปหลายหน่วยงาน หากสามารถนำมารวมกันในหน่วยงานเดียวเป็นเจ้าภาพแบบวันสต็อปเซอร์วิส จะช่วยให้สะดวกและดำเนินการได้เร็วมากขึ้นไม่ต้องเสียเวลาไปติดต่อตามหน่วยงานต่าง ๆ
ได้เห็นดัชนีหุ้น 1,500 จุด
หันมาที่ตลาดหุ้นกันบ้าง “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บลจ. เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ที่เชื่อมั่นว่า ด้วยรอง
นายกฯและรมว.คลัง ยังเป็นคนเดิม ก็ทำให้มีหวังในการฟื้นเศรษฐกิจไทยมากยิ่งขึ้น หลังจากเห็นผลงานจากรัฐบาลที่ผ่านมา ทั้งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุน และในด้านการลงทุนหลังจากนี้้เริ่มมีความน่าสนใจ ขณะเดียวกันรัฐบาลใหม่ยังมีทั้งเงินงบประมาณปี 67 และเงินงบประมาณปี 68 ที่กำลังผ่านการพิจารณา จึงเชื่อมั่นว่าจะได้เห็นการหมุนเวียนของเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านช่องทางต่าง ๆ และผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโต
ขณะเดียวกันสถานการณ์ตลาดหุ้นไทย ก็เร่ิมดีขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยเงินที่ไหลกลับเข้ามาขณะนี้คาดว่าเป็นเงินคนไทยฝั่งที่อยู่ต่างประเทศมากกว่า ส่วนในสายตาต่างชาตินั้นยังมองการลงทุนในไทยเป็นภาพลบ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว มีเพียงดัชนีหุ้นที่ปรับขึ้นมาก่อนแล้วเม็ดเงินจะตามเข้ามาทีหลัง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ภาครัฐเริ่มทำปีนี้ โดยการลงทุนระยะนี้ คาดว่าดัชนีพักฐานบริเวณ 1,450 จุด เพื่อรอติดตามกำไรบริษัทจดทะเบียน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งหากลดลง บวกกับกองทุนไทยอีเอสจี และกองทุนวายุภักษ์ได้การตอบรับดีจากนักลงทุน ก็เชื่อว่าปีนี้มีโอกาสเห็นดัชนีที่ระดับ 1,500 จุด
ลุ้นอยู่ครบเทอม
“ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร” นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) คาดหวังว่า รัฐบาลใหม่จะสามารถอยู่ได้ครบเทอมที่เหลืออีก 3 ปี เพื่อให้การทำงานมีความต่อเนื่องเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรมต.ใหม่ ที่เข้ามาบริหารก็อยากให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการท่องเที่ยวอย่างที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวขับเคลื่อนต่อไปโดยไม่สะดุด เพราะที่ผ่านมามีการเปลี่ยนตัวกันบ่อยโดยเปลี่ยนมาถึง 3 คน ในช่วง 1 ปี หากอยู่ได้ครบวาระก็จะสานต่อนโยบายรัฐบาลเดิม เช่น นโยบายส่งเสริมเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยวก็จะช่วยกระจายนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น รวมถึงสร้างแหล่งท่องเที่ยว ห้องน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวก และส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับเมืองที่มีความพร้อมเพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าและดึงนักท่องเที่ยวไปเมืองนั้นได้มากขึ้น
มั่นใจสานต่อท่องเที่ยวบูม
ด้าน “มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสารองค์กรบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด มองว่า สำหรับครม.ชุดใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงบุคคลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็ยังอยู่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นคาดว่านโยบายหลักในด้านต่าง ๆ จะสามารถสานต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีอัตราการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วน รมว.ท่องเที่ยวคนใหม่ ที่จะเข้ามาทำงานนั้น หากจะสานต่อนโยบายทั้งในเรื่องของฟรีวีซ่า รัฐบาลก็เดินหน้าเจรจาขอฟรีวีซ่ากับประเทศในเขตเชงเก้น รวมถึงสหราชอาณาจักร ตรงนี้จะทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยมากยิ่งขึ้น และทำให้ทุกภาคส่วนได้รับผลดีไปด้วยเช่นกัน
“มองว่าครม.ชุดใหม่ จะเดินหน้าต่อนโยบายหลักเดิมที่ดี และมีอยู่แล้วต่อไป โดยในด้านการท่องเที่ยวนั้นจะกระตุ้น ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่รัฐได้วางไว้ จะส่งผลดีต่อศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ด้วยเช่นกัน ในไตรมาสที่ 4 จะเป็นช่วงไฮซีซัน มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และจะมีประเทศอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ประเทศแถบอาหรับที่นิยมเข้ามาเที่ยวในไทยจำนวนมาก และเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง”
เห็นนโยบายชัดเจน
“พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (เคเคพี) ประเมินว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เปลี่ยนทีมเศรษฐกิจไปมากเท่าใด ก็เชื่อว่าจะสานต่อนโยบายเดิมต่อไปเพื่อขับเคลื่อนประเทศ ขณะที่ก่อนหน้านี้นายทักษิณ ชินวัตร ก็ฉายภาพและแสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นแล้วก็ยิ่งทำให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น จากเดิมอาจยังไม่มีใครรู้ว่ารัฐบาลมีนโยบายอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่เชื่อว่ารัฐบาลแพทองธารจะเดินหน้าต่อเนื่องเพราะจากการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงการคลัง ซึ่งตัวรัฐมนตรียังเป็นบุคคลเดิมทั้งนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ที่ยังคงเหมือนเดิม ทำให้นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาลแพทองธาร เชื่อว่ายังคงเดินหน้าต่อไป
หรือแม้แต่ “ชูเกียรติ โอภาสวงษ์” นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยที่เชื่อว่า รัฐบาลใหม่จะเดินหน้าสานต่อนโยบายเดิมได้ แต่อยากให้เร่งทำเพิ่ม คือการสร้างความเชื่อมั่นออกไปสู่ต่างชาติ โดยเฉพาะการดึงการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาบ้านเรา อย่างเป็นรูปธรรม ที่ต้องมีมาตรการให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่โรดโชว์และชักชวนมาลงทุนเท่านั้นรัฐบาลควรออกมาตรการทางภาษี การส่งเสริมแรงงาน พัฒนาทักษะ ตลอดจนมิติในการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนเพื่อสร้างแรงจูงใจจากต่างชาติเข้ามาให้เกิดขึ้น เพราะจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
สารพัดสารเพที่บรรดาภาคเอกชนคาดหวังไว้ จะเป็นจริงแค่ไหนต้องมารอดูฝีมือของรัฐบาลแพทองธาร ที่การันตีไว้ชัดเจนว่า นายกฯคนนี้มีทีมที่ดี!!.