สางแค้น เขย่ากระดานการเมือง
ปี 2567 เป็นปีแห่งมรสุมถาโถมประเทศไทย ทั้งมรสุมทางธรรมชาติ และมรุสมทางการเมืองในศึกนิติสงคราม เปรียบเหมือนมังกรพ่นไฟ ที่ทั้ง “นักการเมือง” และ “นักร้องซ่อนเงื่อน” ต่างงัดกลเกมกฎหมายเข้าห้ำหั่นเปิดศึกสางแค้น เขย่ากระดานการเมือง ผ่านองค์กรอิสระทำเอานักการเมืองตัวพ่อกระเด็นจากสนามการเมือง ส่งแรงผลักเกิดโดมิโนการเมืองส่อล้มระเนระนาด ซึ่ง “ทีมการเมืองเดลินิวส์” สรุป 5 เหตุการณ์เด่นสุดเผ็ดร้อนที่เกิดขึ้นในปี 2567 และจะเขย่าการเมืองข้ามสู่ปีใหม่ 2568
ยุบ‘ก้าวไกล’ไม่ตายแต่ไม่โต
เป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ เขย่าขวัญชาวด้อมส้ม หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติสั่ง ยุบ “พรรคก้าวไกล” ฐานล้มล้างการปกครอง จากการรณรงค์การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมกรรมการบริหารพรรคฯ เป็นเวลา 10 ปี ซ้ำรอย “อดีตพรรคอนาคตใหม่” ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และคณะ เคยต้องโทษถูกยุบพรรค และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเช่นกัน แต่ทัพด้อมส้มยังสู้ต่อด้วยการอพยพ 143 สส. ย้ายเข้ารังใหม่ “พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล” ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น “พรรคประชาชน” ตั้ง “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ คุมบังเหียนหัวหน้าพรรค นำทัพสู้ศึกสมรภูมิการเมืองไทยต่อ แต่ปรากฏว่าแกนนำด้อมส้มรุ่นนี้ไม่โต ไม่โดดเด่น อย่างที่ควรจะเป็น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะข้อจำกัดที่ว่าไม่สามารถพูดถึงเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ประกาศิตฟ้าผ่าเปลี่ยนตัวนายกฯ
นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศได้ 358 วัน “เศรษฐา ทวีสิน” เผชิญ“มรสุมทางการเมือง”ครั้งสำคัญ เมื่อ 40 สว.ตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีปัญหาเคยถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือน ในคดี “ถุงขนม 2 ล้าน” โดยในวันที่ 14 ส.ค.2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5:4 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” สิ้นสุดลงเฉพาะตัว จากเหตุไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ถือเป็นอันสิ้นสุดการเดินทางบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 30
อุบัติเหตุทางการเมืองส่งผลให้ “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ตกกระไดพลอยโจน ต้องรับไม้ต่อขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 แบบไม่คาดฝัน ไฟต์บังคับเดินหมากก่อนเวลาบนเส้นทางที่ต้องแบกรับภารกิจหนัก บนความเสี่ยงในจุดสูงสุดที่ต้องเจอสารพัดปัญหาแรงต้านทุกย่างก้าวเป็นเดิมพัน “ผู้นำหญิงคนใหม่”
รัฐบาลใต้เงาจันทร์ฯ
หลัง “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2567 พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล จึงต้องรีบรักษาเก้าอี้ผู้นำรัฐบาล ทำให้ในคืนวันเดียวกัน “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยกหูโทรศัพท์เรียกเหล่าบรรดาแกนนำและหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล เข้าบ้าน “จันทร์ส่องหล้า” ทันที เพื่อเคาะว่าจะเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 โดยมีกระแสข่าวว่ามีความเห็นพ้องว่าจะเสนอชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่เหตุการณ์พลิกผันหลังผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง พรรคร่วมรัฐบาลจับมือกันแถลงข่าว เสนอชื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31
ภายหลังจากที่ “แพทองธาร” เข้ารับตำแหน่งผู้นำรัฐบาล บทบาทของ “คุณพ่อทักษิณ” โดดเด่นโชว์ความสามารถ สาดแสง “จันทร์ส่องหล้า” กลบออร่า “ลูกสาวแพทองธาร” ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นไปพูดบนเวทีต่างๆ รวมถึงการขึ้นเวทีปราศรัยในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของการเมืองท้องถิ่น โชว์ความเก่งกล้าเหนือชั้น จนลูกสาววิ่งตามไม่ทัน จนถูกวิจารณ์ว่า การทำงานของรัฐบาลชุดนี้เสมือนเป็น “รัฐบาลใต้เงาจันทร์” ที่ “ทักษิณพูด แพทองธารทำ”
ลูกรักหักเหลี่ยมโหด
การประกาศแยกระหว่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา อดีตเลขาธิการพรรค ไม่ใช่ครั้งแรก ในยุครุ่งเรืองของ “ 3 ป.” “ผู้กองธรรมนัส” เคยแยกทางจาก พปชร.มาแล้ว เมื่อถูกขับออกไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย หลังความไม่ลงรอยกับ “บิ๊กตู่” พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และวันที่ 16 ม.ค.2566 “ผู้กองธรรมนัส” คัมแบ็ก ถือพวงมาลัยคุกเข่าไหว้ “บิ๊กป้อม” กลับเข้าพรรคอีกครั้ง
ล่าสุด “ฟางเส้นสุดท้าย” ขาดลง เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2567 เนื่องจาก “บิ๊กป้อม” ส่งรายชื่อโผครม. “แพทองธาร 1” ไร้ชื่อ “ผู้กองธรรมนัส” ทำให้สะบั้นรัก ประกาศอิสรภาพทันที ขนสส.ในสังกัดทั้งหมด รวมถึงพรรคเล็กๆ ไปจับมือกับ “นายใหญ่ทักษิณ” ดันนอมินีเป็น “รัฐมนตรี” ในกระทรวงเกษตรฯ แบบเบ็ดเสร็จ 3 เก้าอี้ จากนั้นเกิดเหตุการณ์คลิปเสียงหลุดมาเป็นซีรีส์ แถมคนรอบข้างก็โดน “นิติสงคราม” ย้อนกลับเป็นบูมเมอแรง แถมยังมากระแทกปักอกที่ “หวานใจ” ติดชนักคดีส.ป.ก. ไร่ภูนับดาว ทำให้“บิ๊กป้อม”ต้องยอมแลก กับการขับ “20 สส.ก๊วนผู้กองธรรมนัส” พ้นจาก พปชร. เป็นครั้งที่ 2 จึงถือเป็น “เกมลูกรักหักเหลี่ยมโหด” ของแทร่ที่จะไม่มีครั้งที่ 3 แน่นอน
สภาเซราะกราวสีน้ำเงิน
เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดที่ 13 แทน สว.ชุดเก่าที่หมดวาระ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2567 หลังกระบวนใช้เวลายาวนานถึง 47 วัน คัดสรรจากผู้สมัครจำนวนกว่า 46,000 คน เหลือว่าที่สว. 200 คน จากกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งถือเป็นการเลือกแบบ “มาราธอนข้ามวันข้ามคืน” ใช้เวลาเกือบ 18 ชั่วโมง ด้วยกติกาอีนุงตุงนัง ให้ผู้สมัครเลือกกันเองผ่านในสาขาอาชีพเดียวกัน และเลือกไขว้ข้ามสาขาอาชีพ หวังสกัดการฮั้วเลือกสว. ก่อนได้รายชื่อว่าที่สว.ชุดใหม่ 200 คน โดยเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 09.00 น. ของวันที่ 26 มิ.ย.2567 ก่อนเสร็จสิ้นการนับคะแนนในเวลา 03.30 น. ของวันที่ 27 มิ.ย.2567
ผลที่ออกมา จาก “สภาสูง” กลายพันธุ์เป็น “สภาสีน้ำเงิน” โพยฮั้วเลือกสว.ปลิวว่อน เขี่ย“บิ๊กเนม”ตกรอบระนาว ส่วนรายชื่อ “200 สว.ป้ายแดง” นั้น กว่า 138 ชื่อล้วนใกล้ชิด “บ้านใหญ่สีน้ำเงิน” ของ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ ผู้มีบารมีพรรคภูมิใจไทย ที่ล็อกชื่อ “สหายหมง” มงคล สุระสัจจะ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง สายตรง เป็นประธานสว. พ่วงเก้าอี้รองประธานวุฒิสภา 2 เก้าอี้ และเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำวุฒิสภา เบ็ดเสร็จเรียบร้อย โรงเรียน “เนวิน” สยายปีกยึด“สภาสูง”คานอำนาจ “พรรคเพื่อไทย” ที่คุมเกม “สภาล่าง”