การประกาศของนายทักษิณ ได้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายคราในหลายเวที เริ่มมาตั้งแต่การแสดงวิสัยทัศน์ ครั้งแรก เมื่อปลายเดือนส.ค.ปี 2567 ที่ผ่านมา

จนล่าสุดในเวทีหาเสียง ในการชิงสมัครการเป็นนายกอบจ.เชียงราย ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครจาก พรรคเพื่อไทย เมื่อเช้าวันที่ 5 ม.ค. 2568

นายทักษิณ ได้ประกาศชัดเจนว่า ต้องกดค่าไฟฟ้าในปี 2568 นี้ ลงไปให้ได้ อย่างน้อยที่สุด ต้องอยู่ในระดับที่หน่วยละ 3.70 บาท หรืออาจลดลงไปต่ำกว่านั้น

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ต้องรับกรรมจากวิกฤต “ค่าไฟฟ้าแพง” มานานแสนนาน แล้วก็ปฎิเสธไม่ได้ด้วยว่า สาเหตุหนึ่งของค่าไฟแพงนั้นมาจาก “การเมือง”

ทั้งนี้ ค่าไฟเมืองไทยแพงก็ไม่ได้แพงอย่างไม่มีสาเหตุ!! หรือ ไม่ได้แพงอย่างไม่มีที่มาที่ไป…แต่มีปัจจัยสำคัญมาจากโครงสร้างราคาพลังงาน การสำรองพลังงานที่ล้นมากเกินไป และหลากความผิดปกติที่เชื่อกันได้ว่ามีเบื้องหลังที่สลับซับซ้อน

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นได้จากกรณีที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ได้โพสต์ เฟซบุ๊กส่วนตัว ในช่วงเย็นของวันที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา

โดยเนื้อหาตอนหนึ่งระบุไว้ว่า “สิ่งที่ผมทำเพื่อพี่น้องประชาชนจะมีคนที่เคยได้ประโยชน์กันมากว่า 50 ปี เป็นอย่างน้อยต้องเสียผลประโยชน์ ผมรู้ว่าผมจะต้องโดนวิชามารกระหน่ำแบบไหน แต่ผมไม่กลัวและผมจะทำให้ได้”

หรือกรณีที่ชาวโซเชียลต่างร่วมกัน รีทวิตแท็ก #ค่าไฟแพง พร้อมเรียกร้องให้ดันแท็ก #ค่าไฟแพง ให้แรงทะลุจักรวาล  เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2567 จน “ค่าไฟแพง” ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ (X) อันดับ 1  หลังจากมีภาพว่อนเน็ต ในการตีกอล์ฟร่วมกันของนายทักษิณ กับบิ๊กพลังงาน

ขณะที่สภาผู้บริโภค ยังได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือกกพ. ทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 2,145.5 เมกะวัตต์ ที่ไม่ได้ใช้วิธีการประมูล

แต่กลับใช้วิธีการคัดเลือก ที่อาจไม่มีประสิทธิภาพ มากเพียงพอ เนื่องจากไม่มีการเปิดให้มีการแข่งขันโดยวิธีการประมูลราคาเพื่อหาราคาที่เหมาะที่สุด  และในอนาคตจะกลายเป็นภาระของผู้บริโภคที่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงนานถึง 25 ปี

อย่างไรก็ตามมติล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.67 ที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ได้มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ เป็นประธานแทนนั้น  ได้เห็นชอบให้ชะลอโครงการไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 หรือ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม ไว้ก่อน

โดยโครงการรับซื้อไฟฟ้าฯดังกล่าว จะเป็นในกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรม ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2565 – 2573  โดยเป็นการชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง

มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กันว่า จากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือแผน PDP 2024 (2567-2580)  นับเป็นจุดผิดพลาดในเรื่องการวางแผนผลิตไฟฟ้า จึงเปิดโอกาสให้เอกชนประมูลโครงการผลิตไฟฟ้า แต่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าที่เอกชนผลิต

ขณะเดียวกันปัญหาสำคัญของเรื่องนี้เกิดมาจากการคาดการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ว่าประเทศไทยต้องการกำลังไฟฟ้าในปริมาณที่สูงมาก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ต้องการใช้ไฟฟ้ามากดังที่คำนวณกันไว้

ดังนั้น จึงพบว่าในความเป็นจริงแล้ว มีโรงงานผลิตไฟฟ้าที่ผลิตไฟมากเกินความต้องการจริงถึง 50% รวมทั้งยังมีปัญหาเรื่องของโครงสร้างราคาพลังงานในเรื่องของค่าพร้อมจ่าย เข้ามาสมทบเข้าด้วยอีก  ขณะที่การทบทวนแผนผลิตไฟฟ้า หรือแผน PDP 2024 (2567-2580)  ก็ยังไม่แล้วเสร็จ

ดังนั้น!! จึงต้องมาดูกันต่อไปว่าค่าไฟฟ้าในงวดใหม่ คือ ตั้งแต่เดือนพ.ค.-ส.ค. 2568 นี้จะลดลงไปอยู่ในระดับที่หน่วยละ 3.70 บาท ได้ตามที่อดีตนายกฯทักษิณ การันตี ไว้ได้หรือไม่?

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่