ความท้าทายที่มีค่อนข้างมากในปี 68 โดยเฉพาะความท้าทายจากสถานการณ์ต่างประเทศ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในท้ายที่สุดแล้วจะรุนแรงมากขึ้น หรือเป็นผลดีต่อประเทศไทยกันแน่!! เพราะหากดูผลสะท้อนจากสำนักวิจัยเศรษฐกิจชื่อดังต่าง ๆ จะพบว่าต่างให้ประมาณการเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่เกิน 3% หรือบางสำนักก็ให้เติบโตได้ 3% นิดหน่อย ขณะที่รัฐบาลของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร มั่นใจว่า ในเมื่อปี 2568 จะเป็นปีแห่งโอกาส ดังนั้นเศรษฐกิจไทยต้องเติบโตเกิน 3% แน่นอนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เวลานี้เพิ่งเริ่มต้นปีเท่านั้น ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ชัดเจนเด่นชัดว่า ในปี 68 นี้จะมีความเสี่ยงใด ๆ เกิดขึ้นบ้าง ด้วยเหตุนี้… จึงทำให้เศรษฐกิจไทยต้องอยู่ในช่วงที่ต้องการความหวัง ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท หรือดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะช่วยให้เกิดการบริโภค และลดค่าครองชีพของครัวเรือนได้ เพราะปัญหาหลักของครัวเรือนในปัจจุบัน คือการขาดรายได้ และไม่มีการวางแผนการเงินที่ดี ทำให้เมื่อเงินขาดมือ เกิดการสะดุด และกลายเป็นปัญหาวิกฤติด้านการเงินในครัวเรือนตามมา
เร่งวางแผนการเงิน
การวางแผนทางการเงิน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนไทยทุกคนควรตระหนักให้มากขึ้น หรือต้องตระหนักให้มาก เพื่อให้การใช้จ่ายสอดคล้องกับรายได้ในแต่ละเดือน และไม่ให้ต้องลำบากหากรายได้เกิดสะดุดลง โดยเทคนิคสำคัญและเคล็ดลับดี ๆ มีหลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายและได้ผลดี คือ การทำสมุดบัญชี หรือจดบันทึกเพื่อให้เห็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายอย่างชัดเจน ทำให้รู้ว่าเงินที่ได้มาในแต่ละเดือนอยู่ตรงไหนบ้าง สามารถวางแผนการเงินได้สะดวกมากขึ้น
วิธีวางแผนการเงิน ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ในแต่ละเดือนควรแยกค่าใช้จ่ายที่จำเป็นออกมา จากนั้นพิจารณาค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ว่า สามารถลดรายจ่าย หรือค่าใช้จ่าย ตรงไหนได้บ้าง หรือต้องหาเงิน หารายได้เพิ่มเท่าไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยข้อดี คือ หากวางแผนตั้งแต่ต้นปี ทำให้มีเวลาปรับเปลี่ยนและวางแผนล่วงหน้าได้ กรณีหากมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน หรืออย่างน้อยก็มีเงินเก็บบางส่วนที่สามารถนำไปหมุนก่อนได้

ช่วยบรรลุเป้าหมาย
อีกวิธีคือ แบ่งเป้าหมายการเก็บออมออกเป็นหลายส่วน โดยการแบ่งเป้าหมายการเก็บออมออกเป็นหลายส่วนอย่างชัดเจน จะช่วยให้สามารถวางแผนการเงินให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะในแต่ละเดือนเมื่อมีเงินเดือนก้อนใหญ่เข้ามาในบัญชี หลายคนมักจะใช้จ่ายออกโดยไม่คิดให้รอบคอบ จนขัดสนเรื่องเงิน เงินไม่พอใช้ กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นปกติ
แต่หากสามารถจัดสรร และรู้จักแบ่งเงินออกเป็นก้อน เชื่อได้ว่าจะช่วยให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้อย่างเห็นผล อาจแบ่งได้เป็น 50-30-20 เป็นสัดส่วน 50 คือค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ส่วน 30 คือค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือสำหรับจับจ่ายสิ่งของที่ต้องการ และ 20 คือเงินสำหรับเก็บออม ซึ่งอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของแต่ละคน แต่ส่วนของการเก็บออมไม่ควรน้อยกว่า 10% ของเงินเดือนทั้งหมด
เป้าหมายแบ่งเป็น 3 ระยะ
สำหรับเป้าหมายทางการเงินอาจมีได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเพื่อการออมเงิน หรือเพื่อลงทุน เช่น เก็บเงินเพื่อการซื้อบ้าน ซื้อรถสักคัน และบางคนเก็บเงินเพื่อนำไปใช้ในวัยเกษียณ หรือบางคนเก็บเงินเพื่อไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ แต่การตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ดี ต้องเป็นเป้าหมายที่ชัดเจน และสามารถทำให้สำเร็จได้ สิ่งที่สำคัญคือควรมีการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายทางการเงินต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้จริง

การเก็บเงินโดยการตั้งเป้าหมายทางการเงิน สามารถแบ่งเป็นระยะ ๆ หากมีเป้าหมายระยะสั้น น้อยกว่า 1 ปี เช่น ต้องการเก็บเงินออมเผื่อฉุกเฉินเป็นเงิน 30,000 บาทภายใน 1 ปี, เป้าหมายระยะกลาง มากกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี เช่น ต้องการเก็บเงินเพื่อใช้เป็นเงินดาวน์ซื้อบ้าน จำนวน 500,000 บาทภายใน 3 ปี หรือ เป้าหมายระยะยาว มากกว่า 3 ปี เช่น ต้องการมีเงินเก็บเมื่อเกษียณอายุ จำนวน 10 ล้านบาท
นักออมมือใหม่
แต่สำหรับใครที่ยังเป็นมือใหม่หัดออมเงิน และมีความตั้งใจเก็บออมเงิน อาจเริ่มจากเก็บเงินที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ก็ไม่ทิ้งวินัย เช่น บัญชีเงินฝากปลอดภาษี ซึ่งกำหนดให้เราต้องฝากเงินในจำนวนที่เท่ากันทุกเดือน อาจมีการกำหนดขั้นต่ำ เช่น 500-1,000 บาท ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น 24 เดือน หรือ 36 เดือน ซึ่งธนาคารมักจะให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากประเภทอื่น
ข้อดีนอกจากให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประเภทอื่น ๆ แล้ว ในบางธนาคารอาจมีบริการโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีที่เราแจ้งไว้เพื่อไปเก็บออมในบัญชีเงินฝากปลอดภาษี เป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างวินัยการออมที่ดีด้วย โดยหากมีการฝากอย่างน้อย 24 เดือน แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และรวมแล้วต้องไม่เกิน 600,000 บาท จะได้รับยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก 15% จึงเป็นอีกหนึ่งทางที่ทำให้เงินงอกเงย และช่วยให้สามารถเก็บเงินก้อนได้
เริ่มตั้งแต่อายุน้อย
เคล็ดลับอีกอย่างในการออมเงินให้สำเร็จได้ตามที่ตั้งใจไว้คือ ควรเริ่มออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อยและออมเงินจนเป็นนิสัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างวินัยการเงิน และมีโอกาสเรียนรู้การใช้เงินจากเงินเก็บไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินให้เป็นปัญหา และที่สำคัญคือ เริ่มออมเงินตั้งแต่อายุยังน้อย จะสามารถไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้อย่างง่ายดาย ด้วยจำนวนเงินออมต่อเดือนที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับการเริ่มต้นออมเมื่ออายุมากขึ้น
หากต้องการมีเงินก้อนตอนอายุ 60 ปี ประมาณ 1.5 ล้านบาท แล้วเริ่มออมตั้งแต่เริ่มทำงานตอนอายุ 25 ปี โดยเก็บเงินทุกเดือน สมมุติว่าได้รับผลตอบแทน 3% ต่อปี เราจะเก็บเงินประมาณเดือนละ 2,000 บาท แต่หากเราเพิ่งมาเริ่มต้นออมเงินตอนอายุ 45 ปี เราจะต้องออมเงินถึงเดือนละประมาณ 6,500 บาท ถึงจะได้เงินเก็บในจำนวนใกล้เคียงกันเมื่อเกษียณอายุ
ลงทุนสร้างผลตอบแทน
ในบางคนอาจอยากแบ่งเงินออมเพื่อไปลงทุน ให้เงินนั้นงอกเงยมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งผลตอบแทนของการลงทุนส่วนใหญ่มากกว่าเงินฝากแต่ความเสี่ยงก็สูงมากตามมาเช่นกัน เช่น ตราสารหนี้ ตราสารทุน หรือกองทุนรวม แต่หลายคนเลือกที่จะลงทุนประเภทนี้เพราะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า ซึ่งอาจเลือกควบคู่ไปกับการเก็บออมเงินด้วยการฝากเงินไปด้วยก็ได้เหมือนกัน ซึ่งข้อดีคือ สร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในเงินฝากเพียงอย่างเดียว สัดส่วนที่เหมาะสมของเงินที่ควรแบ่งไปลงทุนนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ของแต่ละบุคคลด้วย โดยวิธีการลงทุนสำหรับมือใหม่ที่นิยมกันคือการลงทุนแบบ “ดีซีเอ” ด้วยการทยอยลงทุนเป็นประจำในจำนวนที่เท่า ๆ กันทุกเดือน โดยไม่ต้องสนใจว่าราคาที่ลงทุนนั้นจะเป็นเท่าไร เพื่อสร้างวินัยการออม เฉลี่ยต้นทุนในการลงทุน และลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาในแต่ละช่วงเวลาได้
แม้มีจำนวนไม่น้อยอาจยังเลือกไม่ได้ระหว่างการลงทุนด้วยตราสารหนี้ หรือจะลงทุนลุ้นโชคกับสลากออมสิน ซึ่งทั้งสองประเภทมีความแตกต่างกันไม่น้อย เพราะระดับความเสี่ยงที่รับได้ค่อนข้างมีความแตกต่าง อย่างตราสารหนี้แม้มีผลตอบแทนค่อนข้างสูง แต่ความเสี่ยงเงินลงทุนก็อาจสูงตาม แต่ถ้าเป็นสลากออมสิน หรือพันธบัตรรัฐบาล เงินต้นอยู่ครบ แถมได้ผลตอบแทนอีกด้วย
เปรียบเทียบโอกาส
เปรียบเทียบระหว่างสลากออมสิน ตราสารหนี้ ประเภทหุ้นกู้ และพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล โดยหากเป็นสลากออมสิน เช่น ถ้าซื้อไว้ 500,000 บาท หน่วยละ 50 บาท ได้รับสลาก 10,000 หน่วย เมื่อครบอายุ 3 ปี ได้รับเงินต้นพร้อมกับดอกเบี้ย และยังมีโอกาสลุ้นรางวัลอีกในทุก ๆ เดือน มีโอกาสได้รับเงินล้านอีกด้วย แถมเงินรางวัลและดอกเบี้ยที่ได้รับ ไม่ต้องเสียภาษีด้วย ส่วนการลงทุนด้วยหุ้นกู้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง สมมุติว่าบริษัทเอกชนแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง อยู่ระดับ เอ โดยลงทุนไว้ 500,000 บาท หน่วยละ 1,000 บาท จะได้รับ 5,000 หน่วย หากคิดว่าได้ดอกเบี้ย 2.73% ต่อปี ดอกเบี้ยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% คิดผลตอบแทนสุทธิแล้วจะอยู่ที่ 2.32% ต่อปี ขณะที่การลงทุนผ่านพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล โดยกระทรวงการคลังนั้น ถ้ายกตัวอย่าง พันธบัตรมีอายุ 3 ปี หน่วยละ 1,000 บาท จะได้รับ 500 หน่วย รวมเป็นเงิน 500,000 บาท และหากได้รับดอกเบี้ย 1.85% ต่อปี จะต้องเสียภาษีดอกเบี้ยหัก ณ ที่จ่าย 15% ซึ่งเมื่อได้หักภาษีแล้วจะได้รับผลตอบแทนสุทธิที่ 1.57% ต่อปี
จะเห็นว่าการลงทุนทั้ง 3 ประเภทนี้ การลงทุนในหุ้นกู้จะได้รับผลตอบแทนมากที่สุด รองลงมาคือพันธบัตรออมทรัพย์ และสลากออมสินตามรองลงมา แต่หุ้นกู้ก็มีความเสี่ยงในการลงทุนมากที่สุดเช่นกัน เพราะผลตอบแทนจะขึ้นอยู่ภาวะการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงเสมอ ทำให้ผู้ลงทุนต้องพิจารณาศึกษาการลงทุนและศึกษารายละเอียดให้ครบถ้วนก่อนลงทุน เพื่อไม่ให้เงินลงทุนของเราสูญเปล่า
ลุ้นโชคเสี่ยงดวง
อีกหนึ่งการลงทุนที่เป็นที่นิยมของหมู่มวลคนไทยมากที่สุดคือ ลงทุนกับสลากกินแบ่งรัฐบาล แม้ก็รู้ทั้งรู้ว่าความเสี่ยงสูง โอกาสเงินต้นที่ใช้เงินซื้อสลากฯไปนั้น ไม่มีทางได้กลับมา แต่ใจก็อยากลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง เพราะถือว่าการลุ้นสลากกินแบ่งรัฐบาล มีความตื่นเต้นว่าเรามีโชคมีดวงในงวดนี้หรือเปล่า แต่ถ้าหากถูกรางวัลที่หนึ่งขึ้นมา ก็มีโอกาสที่จะพลิกชีวิตได้เหมือนกัน
คนไทยชอบเล่นหวย คำพูดนี้ไม่ผิดแปลก ซึ่งการลงทุนในสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า หวย มีผลตอบแทนสูง และความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน เพราะหากเราซื้อสลากฯ 1 ใบ ถ้าถูกรางวัลแค่เลขท้าย 2 ตัว มีเงินรางวัลถึง 2,000 บาทเลยทีเดียว และหากดวงดี โชคเป็นของเรา ก็รวยขึ้นมาในพริบตา เพราะเงินรางวัลที่หนึ่งมีสูงถึง 6 ล้านบาท เพียงลงทุนแค่ 80 บาท มีหรือใครจะไม่อยากเสี่ยงดวง!!
แต่การลงทุนสลากกินแบ่งรัฐบาล ใน 1 เดือนมี 2 งวด และใน 1 ปี มีทั้งหมด 24 งวด ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา มีใครถูกรางวัลกี่งวด หรือถูกกินทุกงวด เพราะโอกาสถูกรางวัลมีน้อยกว่าได้รับผลตอบแทนด้วยเงินฝากในแต่ละเดือนด้วยซ้ำ แต่ถ้าหากเปลี่ยนจากเงินลงทุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล มาลงทุนประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีผลตอบแทนที่พอรับได้ ก็อาจจะได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ ดีไม่ดีก็มีโอกาสได้รับเงิน 2,000 บาทเท่ากับรางวัลเลขท้าย 2 ตัวของสลากกินแบ่งรัฐบาลในทุกเดือน

แบ่งเป้าหมายในการออม
อย่างที่บอกในเรื่องของการออมนี้ ต้องแบ่งเป้าหมายในการออมไว้ใน 4 ส่วน คือ 1.ออมเผื่อกรณีฉุกเฉิน เพื่อเก็บไว้ใช้ในกรณีเจ็บป่วย หรือมีเหตุให้ต้องใช้เงินก้อนอย่างเร่งด่วน โดยควรแยกเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ 2.ออมเพื่อวัยเกษียณ ที่เป็นการออมระยะยาว เพื่อใช้จ่ายเมื่อพ้นวัยทำงาน และมีเพียงพอสำหรับการดูแลสุขภาพ ทำกิจกรรมเพื่อความสุข และลดภาระของลูกหลาน 3. ออมเพื่อเติมฝัน เป็นการออมระยะสั้นถึงปานกลาง 1-5 ปี เพื่อนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการ เช่น ท่องเที่ยว ซื้อของที่อยากได้ หรือบริจาคเพื่อสังคม และ4.ออมเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นการออมระยะสั้นถึงปานกลาง 1-5 ปี เพื่อนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ต้องการ เช่น ท่องเที่ยว ซื้อของที่อยากได้ หรือบริจาคเพื่อสังคม
ขณะเดียวกันการเลือกผลิตภัณฑ์เพื่อการออมให้เหมาะสมต้องดูที่…ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยนั่นเอง ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการออม เพราะยิ่งอัตราผลตอบแทนสูงเท่าไร เงินออมก็จะยิ่งงอกเงยรวดเร็วขึ้นเท่านั้น รวมทั้งต้องดู…อัตราเงินเฟ้อ ที่เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าของเงินว่ามีมูลค่าหรืออำนาจซื้อ โดย ดอกเบี้ยเงินฝากที่ได้รับนั้นจึงยังไม่ใช่ผลตอบแทนที่แท้จริง ต้องมีการหักผลกระทบจากเงินเฟ้อออกก่อน เช่นเดียวกับเรื่องของเวลาในการออม… เพราะการออมมีผลตอบแทนหากออมเร็วเงินก็ยิ่งงอกเงยมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะกรณีที่นำเงินไปฝากแบบมีการคิดดอกเบี้ยทบต้น ดอกเบี้ยที่ได้จะถูกทบเข้ากับเงินต้นเดิม และกลายเป็นเงินต้นของงวดถัดไปเรื่อย ๆ ทำให้เงินงอกเงยได้เร็วยิ่งขึ้น
ทั้งหมด!! ไม่ว่าจะเลือกลงทุน หรือเก็บออมเงินด้วยวิธีไหน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ตั้งเป้าหมายทางการเงินเพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นการสร้างวินัยทางการเงิน หากเกิดเหตุฉุกเฉินเงินออมเงินลงทุน อาจเป็นหนึ่งตัวช่วยในยามที่ต้องการในภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน แต่ต้องอย่าลืมว่าจะเลือกออมเงิน หรือจะเลือกลงทุนสักอย่างหนึ่ง ควรคำนึงถึงรายรับ รายจ่าย ก่อนแบ่งสรรปันส่วนมาออมเงินหรือลงทุน เพื่อไม่ให้กระทบกับสภาพคล่องในการใช้ชีวิตประจำวัน จนสุดท้าย…ก็ต้องวนกลับไปสู่วังวนหนี้อีกเหมือนเดิม !!..