อย่างไรก็ตาม กับรูปแบบ “วันวานหวานวันนี้ขม” ของสหรัฐ ที่ผ่านท่าทีประธานาธิบดีคนปัจจุบันเช่นนี้ ก็มีนักวิเคราะห์ด้านยุทธศาสตร์การเมืองโลกมองว่า…กรณีนี้ก็ “ฉายภาพยุคระเบียบโลกใหม่”ที่…

ขณะนี้เข้าสู่ “ยุคอำนาจโลกหลายขั้ว”

วันนี้ “ไม่ได้มีแค่ 1-2 ขั้วอำนาจเดิม ๆ”

ทั้งนี้ กับ “สถานการณ์การเมืองโลกยุคหลายขั้ว” เมื่อโลกยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่มหาอำนาจ 1-2 ขั้วเดิม ๆเหมือนในอดีต โลกยุคปัจจุบันเริ่มถูกแบ่งเป็นหลายขั้ว โดยขั้วใหม่คือ “จีน” ที่ “สหรัฐตั้งป้อมชน” ซึ่งสำหรับไทย คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือ… แล้วประเทศไทยจะวางตัวอย่างไร??” เพื่อให้เกิดดุลยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง “เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนจากยุคมหาอำนาจหลายขั้ว” เช่นนี้ ซึ่งกรณีนี้ก็มี “มุมวิเคราะห์”จากทาง ผศ.ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการศูนย์ที่ปรึกษาและสร้างการเติบโตทางธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่สะท้อนมุมมองต่อสถานการณ์นี้กับ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ไว้น่าพิจารณา

ผศ.ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล

ผศ.ดร.ภูษิต สะท้อนว่า… ก่อนอื่นต้องดู “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โลกถูกแบ่งขั้วอำนาจ” ซึ่งการสถาปนาตนเองเป็น “มหาอำนาจ” ได้ ประเทศนั้นต้องมีครบทั้ง “5 มิติอำนาจ” ได้แก่ เศรษฐกิจ การทหาร ทรัพยากรธรรมชาติ สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และด้านเทคโนโลยี ประเทศใดที่มีครบถ้วน 5 มิติ จะถูกมองเป็นประเทศมหาอำนาจ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะหลังสิ้นสุดยุคสงครามเย็น “สหรัฐอเมริกา” ได้ยกระดับตัวเองขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจ และกำหนดท่าทีตนเองต่อเวทีโลกในฐานะที่เป็น “พี่ใหญ่ของโลก” ซึ่งการที่สหรัฐสามารถทำได้ ณ ตอนนั้น ก็เป็นเพราะ…

สหรัฐครองความได้เปรียบเหนือผู้อื่น

จากการมีมิติอำนาจครบทั้ง 5 ปัจจัย

และจากการที่สหรัฐอเมริกาครอบครองมิติอำนาจทั้งหมดนี้ไว้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะนับตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดยุคสงครามเย็น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สถานการณ์โลกตอนนั้นจึงแทบจะเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” ทำให้ สหรัฐอเมริกาประกาศตัวเป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ และเป็นผู้กำหนดทิศทางโลก เรื่อยมา อย่างไรก็ตาม แต่การครอบครองมิติอำนาจดังกล่าวได้ “เปลี่ยนไป” จากการที่ “จีนยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงอำนาจ” และนับจากนั้นเองก็จึงส่งผลทำให้…

โลกเริ่มจะขยับสู่ “ยุคอำนาจหลายขั้ว”

สำหรับจีน ค่อย ๆ สะสมอำนาจให้ตัวเองในทุกมิติมาเรื่อย ๆ เพื่อที่จะท้าชิงอำนาจกับสหรัฐ อาทิด้านเศรษฐกิจ จีนก็ประกาศยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ ลงทุนสร้างถนนและทางรถไฟไปทั่วโลก นอกจากนั้นจีนยังตั้งธนาคารโลกแห่งใหม่ขึ้นมาเอง เพื่อมาแข่งกับ World Bank และ IMF ที่เป็นเหมือนร่างทรงหน้าฉากให้สหรัฐ”

นี่คือภาพสะท้อน “เกมอำนาจที่เกิดขึ้น”

ผศ.ดร.ภูษิต ระบุอีกว่า… แต่ “มิติอำนาจสำคัญ” ที่ทำให้ จีนกระโดดขึ้นเป็นมหาอำนาจใหม่ หนีไม่พ้น 2 มิติอย่าง มิติทางการทหาร เพราะปัจจุบัน จีนมีกองทหารเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งช่วงหลายปีนี้ยังขยายอำนาจทางทหารด้วยการไปตั้งฐานทัพเรือในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกอีกด้วย ขณะที่ มิติด้านทรัพยากรธรรมชาติ นั้น จีนครอบครองแหล่งแร่ธาตุสำคัญอย่าง “ลิเธียม” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่กว่า 70% ของโลกจำเป็นต้องใช้ เพราะเป็นส่วนประกอบของการผลิตแบตเตอรี่ อุปกรณ์ด้านเอไอ รวมถึงอาวุธต่าง ๆ นั่นเอง และยังไม่รวมการที่จีนเข้าลงทุนด้านพลังงานในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก

พอเรื่องเป็นเช่นนี้ อเมริกาเองก็ทนไม่ได้ จึงหาเรื่องสกัดจีน เพื่อจะรักษาอำนาจในฐานะพี่ใหญ่โลก จึงเกิดเป็นเกมแข่งขันทางขั้วอำนาจกัน โดยมีเรื่องของเศรษฐกิจเป็นฉากบังหน้า” ทาง ผศ.ดร.ภูษิต ชี้ถึง “เกมอำนาจ” นี้

ทั้งนี้ “แล้วไทยต้องวางตัวเช่นไร??” ทางนักวิชาการท่านเดิมเห็นว่า…สิ่งที่ต้องทำแบ่งเป็นข้อ ๆ ดังนี้… 1.ไทยต้องไม่เลือกข้าง แต่เลือกต่าง ไทยไม่ใช่คนเขียนกติกา แต่ก็ต้องไม่เป็นเบี้ยให้ใครจูงพาเดินด้วย โดย ควรวางตัวเป็น “หมากที่มีค่า”ให้มหาอำนาจแย่งกันเข้ามาต่อรอง 2.ไทยต้องดึงพันธมิตรเข้ามาช่วย นั่นคือดึงอาเซียนมาจับมือกันสร้างอำนาจต่อรองกับขั้วมหาอำนาจ แต่ต้องจริงใจต่อกัน หมากนี้จึงจะใช้ได้ผล 3.ไทยต้องช่วยตัวเองให้มากขึ้น ด้วยการเร่งพัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้น และต้องเร็ว ๆ ด้วย รวมถึงหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อหาลูกค้าใหม่ ๆ และกระจายความเสี่ยงไม่ให้ผูกกับคนใดคนหนึ่ง

…นี่เป็น “มุมสะท้อน” ผ่านการวิเคราะห์จาก ผศ.ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล ที่มีมุมมองน่าสนใจต่อ “สถานการณ์ร้อนของโลก” ตอนนี้ อันเป็นผลพวงจาก “สงครามการค้า” ที่พี่ใหญ่สหรัฐเป็นผู้เปิดศึก จนตอนนี้พาให้โลกปั่นป่วน รวมถึง “เกมอำนาจโลก” ที่เกิดขึ้นนี้ยังฉายภาพให้เห็น โลกยุคอำนาจหลายขั้ว” ที่ทำให้โลกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ รวมถึงทำให้ไทยเจอกับทางแพร่งใหญ่สำคัญ ที่ “ไทยต้องก้าวเดินเองให้ดี” เพื่อจะ “เป็นหมากที่มีค่า”ในสายตามหาอำนาจหลายขั้ว…

แม้ว่าจะ “ไม่ง่ายแต่ไทยก็จะต้องทำ”

ต้องทำ “เพื่อไม่ถูกมหาอำนาจใดจูง”

ทั้งหมดทั้งมวล “รอดูฝีมือรัฐบาล??”.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์