ความโด่งดังของวัดไร่ขิง ยังมีของดีคือวัตถุมงคล คือเหรียญหลวงพ่อวัดไร่ขิง และตลาดน้ำชื่อดัง มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ และเทศกาลประจำปีขนาดใหญ่ จนเป็นวัดที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของนครปฐม …ค่าเช่าที่วัดไร่ขิงในงานเทศกาลข่าวว่าแพงมาก ประมูลกันแบบสู้ตาย ..จากองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้วัดไร่ขิงมีรายรับมาก .. ที่หลายคนผิดหวัง เพราะรู้ว่า เงินที่บริจาคตามกำลังศรัทธา โดนสมีแย้มเอาไปปั่นบัคคาร่าเปย์สีกาฉ่ำ แบบว่า โยมจ่ายได้บุญ อาตมาได้ลุ้น…ซึ่งคนไทยนี่จะโมโหหนักมากถ้าถูกหลอก เพราะมันเหมือนหยามกันว่า โง่
เหตุการณ์สมีแย้ม จะทำให้ผิดหวังในพระพุทธศาสนาหรือไม่ ? ตอบว่า ไม่ใช่ แก่นของพระพุทธศาสนามีอยู่ที่พระธรรม และพระพุทธศาสนาสอนให้คนเราปฏิบัติด้วยตัวเอง เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยแนวทางตามอริยสัจ4 ปฏิบัติตัวตามทางสายกลางหรือมรรค 8 เวลามีทุกข์อะไรก็ใช้สมุหทัยในการหาเหตุแห่งทุกข์ และหาทางดับทุกข์นั้นโดยใช้ปัญญา หรือถ้าจะอธิบายการใช้ชีวิตตามมรรค 8 ได้ง่ายขึ้น คือ “ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์” แก่นแท้ของพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นไปตามพุทธทำนายว่า สิ่งที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมก็พระพุทธบริษัท 4 อันประกอบไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่แหละ หรือง่ายๆ ทั้งพระทั้งฆราวาสช่วยกันทำให้เละ..ดังนั้น ถ้าจะผิดหวังกับอะไร ก็ผิดหวังกับพวกมนุษย์ที่เอาศาสนาบังหน้าเถอะ ..พระธรรมนั้นเป็นสัจจะที่ไม่เปลี่ยน
เมื่อพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมความศรัทธา ก็มีทั้งพวกผิดหลง คือคิดไปเองว่าตัวเองปฏิบัติจนบรรลุ หรือพวกชั่วช้าสามานย์วางแผนคิดเอาศรัทธามาดัดแปลงหาผลประโยชน์ คำสอนต่างๆ ถูกเอาไปแปลงเป็นว่า “คนเราต้องแสดงความอารี จิตใจอันผ่องพิสุทธิ์ โดยการบริจาค” และต้องให้วัดเพื่อ “สืบต่อบำรุงพระพุทธศาสนา” บางคนก็ทำบุญเอาหน้า เพราะเชื่อว่า วัดเป็นศูนย์รวมแห่งความดี พระสงฆ์คือตัวแทนพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่
เรื่องการทำบุญ…ถ้าใครเคยดูละคร หรืออ่านนิยาย “เพชรกลางไฟ”ของ ว.วินิจฉัยกุล ก็คงรู้จักตัวละคร “หม่อมต่วน” สามัญชนที่เป็นหม่อมในพระองค์เจ้าสมมุติสักองค์ ลูกเลยออกมาเป็นหม่อมเจ้า ตัวหม่อมต่วนได้ชื่อว่าใจบุญสุนทาน วันพระก็ไปสวดมนต์ถึงเช้าที่วัด ทำบุญกับวัดแบบถึงไหนถึงกัน แต่เมื่อมาถึงวังหม่อมต่วนเป็นหญิงกลางคนผู้โหดร้าย ทำอะไรก็ได้กับคนมีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยง กดขี่คนอื่นจนน่ากลัว ..ลักษณะป้ามหาภัยแบบหม่อมต่วนนี่ว่ากันว่าพบได้ทั่วไป คือ คิดว่าตัวเองเป็นคนดีเพราะไปทำบุญกับพระ กับวัด แต่จะทำตัวจัญไรกับใครก็ได้ ก็กูทำบุญแล้ว… หลายคนบอกให้ระวังว่า ใครกล้าพูดว่าตัวเองเป็นคนดีได้เต็มปาก ชอบให้ใครต่อใครพูดถึงหรือรับรู้ว่าเป็นคนดี มักจะเป็นแบบภาษาสแลงสมัยใหม่เรียก “คนดีย์” อารมณ์แนวๆ ดีแบบเน้นเสียงใส่ เพื่อแทนคำว่า..อ๋อเหรอคะ..หรือแปลอีกแบบคือ ตอแหลได้กระทั่งตัวเอง
คนแบบนี้ทำบุญไปทำไม ? พอนึกๆ ดู ก็ไม่ได้ทำบุญเพื่ออุทิศ ( ทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน ) อะไรหรอก แต่ทำบุญเพราะเชื่อว่า “ทำให้ตนเองมีฐานะหน้าตาทางสังคมเหนือกว่าคนอื่น” แบบว่า คนเห็นว่าทำบุญบ่อย ทำบุญง่าย จะถูกพูดถึงในแง่ดี และอีกอย่างหนึ่ง คือ เชื่อเพราะถูกสอนมาว่า ทำบุญเยอะๆ จะได้ขึ้นสวรรค์ ทำบุญก็คือการจ่ายมัดจำจองที่ไว้บนสวรรค์ พระสงฆ์นี่เป็นสะพานบุญไว้บอกเทวดา เลยคิดว่า ต้องทำบุญกับพระเท่านั้น พระสงฆ์บางคน ( ไม่อยากเรียกตามลักษณะนามจริง ที่เรียกพระสงฆ์เป็นรูป ) อยากได้ปัจจัยก็ได้ทีเอาใหญ่ สอนให้บริจาคกันมากๆ ชิตังเม โป้ง พระรวย
รับประกันได้ไหมว่าขึ้นสวรรค์ถ้าทำบุญเยอะๆ ? ตอบได้แค่ว่า “ไม่รู้สิ” ถึงจะได้รู้ว่าตายแล้วไปไหน สวรรค์หน้าตาอย่างไร นรกหน้าตาอย่างไร ใครตอบได้ เพราะศาสนาต่างกันก็ชีวิตหลังความตายต่างกันแล้ว ..แต่เชื่อว่า คนที่คิดดี พูดดี ทำดี จนวาระสุดท้ายของชีวิต ตายไม่ทรมาน เพราะไม่โดนสำนึกแห่งบาป – ความทรงจำที่เคยทำชั่วก่อนตายมาแผ้วพานจิตใจให้ตายตาไม่หลับ ..ก็เขามักจะพูดกันว่า ก่อนตายคนเรามักจะระลึกกรรมของตัวเอง
การทำบุญโดยการให้ทาน แต่ถ้าองค์ประกอบแห่งทานไม่บริสุทธิ์ ก็เหมือนกับทำบุญไม่ขึ้น องค์ประกอบแห่งทาน คือ ผู้ให้ที่บริสุทธิ์ วัตถุทานที่บริสุทธิ์ คือเป็นวัตถุที่ได้มาด้วยสัมมาวิธี ไม่ใช่แบบปล้นฆ่ามาแล้ว อ่ะทำบุญให้ไปถัวบาปหน่อย หรือทำบุญหวังฟอกเงิน และผู้รับต้องบริสุทธิ์ ซึ่งคำนี้แล้วแต่แต่ละคนจะตีความกัน ว่า ความบริสุทธิ์ของผู้รับคืออะไร ผู้รับเองมีเจตนาบริสุทธิ์ ผู้รับนำวัตถุทานไปใช้ในทางชอบ ก็ประเด็นหนึ่ง …ไม่ใช่แบบผู้รับขายความเป็นสัญลักษณ์ของการสืบต่อศาสนา หรืออาศัยความเวทนาสงสารไปจนถึงอุจาดเพื่อเรียกล่อเงินบริจาค แต่จริงๆ เอาวัตถุทานไปแปรผันเป็นอบายมุข เช่น สมีแย้มที่สอนให้คนเราละทิ้งความตระหนี่ แต่เอาเงินบริจาคตามกำลังศรัทธาเล่นพนันฉ่ำ
พอถึงตอนนี้ก็อยากบอกชาวเน็ต ให้ระวังพวกอ้างความสงสารเรี่ยไรออนไลน์ เพราะพวกนี้ก็สร้างภาพ สร้างเรื่องราวแสนน่าปริเวทนา เหมือนขอทานตามสะพานลอยไทยที่ทำสภาพดูโคตรทุเรศอย่างไรก็ได้ แต่เบื้องหลังไม่รู้เอาเงินไปทำอะไร ทางที่ดีถ้าเจอเรี่ยไร ไปโพสต์บอกให้ขออนุญาตเรี่ยไรให้เรียบร้อยตามกฎหมายของมหาดไทยเถอะ ..บางทีหลอกบริจาคหาเงินไปมุ่งอบายมุขนั่นแหละ พอถามก็ร้อนตัว ยกพุทธภาษิตมาปกป้องตัวเองรัวๆ ..อยากบอกว่าคนไทยอย่ายอม พบว่าเป็นการหลอกเรี่ยไรโดยอาศัยความน่าสงสารให้แจ้งความ มิฉะนั้นพวกกระทำแบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะคนไทยชอบตัดบทง่ายๆ “ถือว่าทำบุญ”
เชื่อเถอะว่า ถ้าเราคิดแต่จิตใจเราเป็นกุศล ไม่ตรวจสอบผู้รับทานให้บริสุทธิ์ ขบวนการมิจฉาชีพที่หากินกับความเชื่อ หากินกับบุญ หากินกับความสงสาร ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า … และดูจากกรณีสมีแย้มแล้ว ก็ชวนให้ขนลุกและผู้ศรัทธาวัดไร่ขิงเกิดโทสะได้อย่างมาก เพราะเพิ่งเปิดมาก็ล่อไป 800 ล้านแล้ว ตรวจหมดจะทะลุไปกี่พันล้าน ถ้าเอาไปสร้างวัตถุในวัดยังจะยอมรับได้ซะกว่า นี่เอาไปเปย์สีกา เปย์บัคคารา แบบว่า ได้เงินง่ายจ่ายเงินเพลิน ..แล้วพวกทำอาชีพพระเนี่ย ก็ชอบอ้างผ้าเหลืองห่อตัวมาปกป้องว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่ควรตรวจสอบ ใครจะตรวจขอให้มันลงนรก บลาๆ …คือลืมไปประเด็นนึงที่เป็นคติพุทธศาสนาคือ ความสำรวม หรือลืมภาษิตไปข้อ “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ”
พระเดี๋ยวนี้แสบๆ เยอะ มีประเด็นกับสีกาบ้าง อยู่ว่างๆ เสพยาบ้าง เรียกเณรมามั่วเพศบ้าง อาศัยผ้าเหลืองเรี่ยไร ทำตัวเป็นเครื่องวัดความดีชี้ว่าใครได้ขึ้นสวรรค์ ..อารมณ์แบบทำตัวเป็นอาชีพที่เวลาทำงานแค่เช้าถึงเพล จากนั้นคือเวลาส่วนตัว เงินก็ได้จากการบริจาค คนทำอาชีพพระบางคนก็แนวๆ ไม่มีอะไรทำเลยมาบวช สังเกตดูหลายคนโง่ คือทำอะไรแล้วดันถ่ายคลิปให้มันเป็นหลักฐานมัดตัวซะงั้น ถ่ายคลิปกะสีกาแบบว่ารักมันล้นอกบ้าง ถ่ายคลิปตอนจับเดรปจีวรสบงเป็นชุดกาล่าไนท์บ้าง … แบบนี้ต้องตรวจสอบจับสึก และก็มีพระอีกแบบหนึ่งที่ไม่อยากเรียกว่า หัวหมอ เพราะคำว่า หมอ มันมีความหมายดี อาจเรียกว่า หัวมิจฉาชีพก็ได้ คืออาศัยความเป็นพระไปรุกที่ป่าสงวน
แล้วก็มีพระสายอวิชชา คือหากินกับความไม่รู้ ประเภทใบ้หวยบ้างล่ะ ทำอาคมมนต์ดำบ้างล่ะ อ้างทำพิธีแก้กรรมตัดกรรมได้บ้างล่ะ ตอแหลอย่างไรก็ได้ให้มีลูกศิษย์เยอะๆ ให้คนมาขึ้นด้วยในฐานะพระที่มีอิทธิปาฏิหาริย์ หรือสร้างเนื้อหาว่าเป็นใครกลับชาติมาเกิด เช่น สมีเณรคำคนดังที่ไปแอคท่าถ่ายรูปสวยๆ โชว์กลางหิมะบ้าง กับรถหรูบ้าง นั่นก็อ้างเป็นพระชรากลับชาติมาเกิด อายุไม่เท่าไรเลยสถาปนาตัวเองเป็นหลวงปู่ให้ดูขลัง .. ซึ่งตรงนี้สำนักพุทธฯ เองก็ต้องมีบทบาทในการตรวจสอบจัดการ บางทีหากินกันเป็นขบวนการ แน่จริงคือให้โชว์พลังอภินิหารต่อหน้าสื่อกันเลยก็ได้ ก็ไม่รู้ว่า จะนั่งหน้ามึนเหมือน “เปรตกู้” ที่ฉาวอยู่พักนึงหรือเปล่า
เคยมีคนรู้จักท่านหนึ่ง มีพระมาใบ้หวย เขานิมนต์ให้ซื้อเองให้ถูกหกตัวตรงให้ดูก่อนแล้วจะยอมศรัทธา… ก็ไม่เห็นว่าสุดท้ายแล้วพระจะไปซื้อหวยเองแล้วรวยเงียบหรือเปล่า แต่เชื่อว่า ถ้าท่านนี้ได้ข่าวสมีแย้มคงหัวเราะ แล้วว่า “ขนาดพระแทงบัคคารายังโดนแดกขนาดนั้น อย่าใบ้หวยเลย”
อยากย้ำว่า “อย่าปล่อยให้คนนุ่งเหลืองพวกนี้ลอยนวล” อย่าคิดว่า ไม่ยุ่งเกี่ยวถือว่า ทำบุญ เพราะการเพิกเฉยไม่อยากยุ่งนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้มิจฉาชีพเหิมเกริม สำนักพุทธฯ ต้องยิ่งตรวจสอบเข้มขึ้น ..อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกประเภทคือ ฆราวาสที่อ้างตัวเองมีอิทธิปาฏิหาริย์ แล้วก็มีสาวกไปกราบไหว้ ตรงนี้เห็นทีว่าจะเกินอำนาจสำนักพุทธฯ ต้องมาดูว่า หน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้องควรจะไปลง ตรวจสอบให้ชัดว่า บางคนแอบอ้างเพื่อหาเงิน หรือบางคนป่วยจิตผิดหลงจริงๆ … ฝั่งฆราวาสแอบอ้างนี่จะชอบเป็นร่างทรงพญานาค น่าจะมีร่างทรงตราครุฑมาจัดการสักทีจะได้หลาบจำ เพราะตามคติความเชื่อ นาคน่ะกลัวครุฑ ครุฑชอบจับนาคไปฉีกรีดมันเหลวในตัวกินเป็นภักษาหาร
แล้วเราควรทำอย่างไรกับการทำบุญ บางคนก็ใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ? มันต้องมีการบอก มีกระบวนการหล่อหลอมทางสังคม การสอนให้ชัดไปเลยว่า แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาอยู่ที่การปฏิบัติตัว “ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์” ไม่มีพระที่ไหนจะแก้กรรมให้ได้ หรือทำบุญไปเพื่อหวังแก้กรรมแต่ในใจเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ มันก็ไม่เกิดผลอะไรนอกจากเปย์พระไปเรื่อยๆ เมื่อไม่สบายใจ ..แต่อะไรที่ร้อนรนในใจมันไม่ได้รับการแก้ไข ..ทางพุทธเขาก็สอนอยู่แล้ว เมื่อมีทุกข์ก็ต้องหาเหตุแห่งทุกข์และทางดับทุกข์ ไม่ใช่ใช้ทางเลี่ยงให้พระดับทุกข์ให้
พระพุทธเจ้ายังพาใครไปนิพพานไม่ได้ อยากให้ใจปลดทุกข์ก็ต้องเริ่มจากตัวเรา ไม่ใช่ใครสะเดาะเคราะห์ให้ได้.
………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”