ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาสำหรับสถานการณ์ชายแดน “ไทย–กัมพูชา” ที่ส่อคุกรุ่นได้ทุกเมื่อ แม้วันนี้แต่ละฝ่ายจะถอยไปกลับไปตั้งหลักในที่ตั้ง หลังไทยงัดมาตรการปิดด่านชายแดนออกมาใช้ ตามด้วย “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขนคณะลงพื้นที่ปลอบขวัญประชาชน วันนี้ “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” ต้องมาสนทนากับ “นิรัตน์ อยู่ภักดี” สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ซึ่งจะมาเสนอมุมมองแนวทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้
โดย “นิรัตน์” เปิดประเด็นว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานเป็นร้อยปี และคาราคาซังมาจนทุกวันนี้ จริงๆ 800 กม.ตามแนวชายแดน ก็มีหลักหมุดตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสกับไทย อันไหนที่มีหลักหมุดก็ตกลงกันได้ ส่วนอันไหนที่ไม่มีหลักหมุดก็เป็นพื้นที่เจรจา ก็เจรจากันไปปักหมุดกันไป ค่อยๆ ทำกันไป เพียงแต่ว่ารัฐบาลระหว่าง 2 ประเทศนี้ ใครจะหยิบเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น ความคิดเห็นส่วนตัว

ผมเข้าใจว่าปัญหาเรื่องเขตแดนนี้เป็นเรื่องปัญหาทางการเมืองของกัมพูชาเสียมากกว่า จะเห็นว่าที่ผ่านมา ทางไทยเราจะไม่ค่อยหยิบยกเรื่องนี้เข้ามาเป็นประเด็น เพราะว่าเหตุผลหนึ่ง คือ ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกว้างขึ้นมากตอนนี้เราไปเน้นในเรื่องทางเศรษฐกิจ แต่ที่มีเรื่องนี้ขึ้นมามี 2 ประเด็น
ข้อแรก คือ ช่วงนี้รัฐบาลเราอาจจะเป็นรัฐบาลผสม ซึ่งความไม่นิ่งของพรรคร่วมรัฐบาล อาจจะเป็นช่องว่างให้อีกประเทศหนึ่งมองว่าถ้าจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอาจจะได้เปรียบ ขณะที่ทาง “รัฐบาลกัมพูชา” ก็พยายามที่จะสร้างให้มีผลงาน ถ้าทำผลงานทางด้านเศรษฐกิจไม่ได้ ก็ต้องมาทำทางด้านการเมือง จึงหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา
ประเด็นที่สองผมเข้าใจว่าเนื่องจากทางกัมพูชาเคยเอาประเด็นเรื่องเขตแดนนี้ไปเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก และเคยชนะมา จึงอาจอยากจะไปเดินตามรอยเดิม ซึ่งหลักๆ แล้วเท่าที่ผมดูก็จะมีอยู่ 2-3 จุด คือ ทางกัมพูชาอาจจะมองว่าบางจุดที่เขาเรียกว่าเป็นวัด หรืออาราม ที่ออกไปทางด้านประวัติศาสตร์ได้ อันนี้อาจจะได้เปรียบ แต่ถ้าเป็นเขตแดนทั่วไปผมคิดว่าก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ซึ่งในศาลโลก ศาลตัดสินขึ้นมาแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะต้องยอมรับ เพราะถ้าศาลโลกสามารถตัดสินให้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกยอมรับได้ ปัญหาระหว่างรัสเซีย กับยูเครนก็คงจบ
@มองท่าทีและบทบาทของรัฐบาลอย่างไร เดินถูกทางหรือไม่
วันนี้บทเรียนหนึ่งคือรัฐบาลต้องให้ข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้ให้กับประชาชนและทุกฝ่ายได้เข้าใจ บางเรื่องทางการเมือง ผมคิดว่าข้อเท็จจริงมี 2 ด้าน ดังนั้นถ้าการเมืองหยิบเอาด้านใดด้านหนึ่งขึ้นมา แล้วไม่พูดอีกด้านหนึ่งทิศทางของเรื่องก็จะไปอีกแบบหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องชี้แจง โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศต้องให้ข้อเท็จจริงว่าผลกระทบระหว่างความขัดแย้งที่ชายแดนจะมีอะไรบ้าง ซึ่งต้องชี้แจงว่าคนที่อยู่ชายแดนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เราจะเห็นภาพนักเรียน ชาวบ้าน ต้องวิ่งเข้าไปอยู่ในท่อ หรือหลุมหลบภัย แต่คนที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างใน กทม. ก็จะคิดอีกแบบหนึ่งคือพยายามจะแสดงว่าทางเรามีกองทัพที่เข้มแข้ง เราไม่เน้นเรื่องเจรจา ซึ่งผลกระทบจึงอยู่ที่ชายแดนไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยหรือการค้าขาย เศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะจุดผ่านแดนเราหลายสิบจุดผมคิดว่ากระทบทั้งนั้น ผมเชื่อว่าถ้าให้ข้อมูลในเรื่องผลกระทบในเรื่องของเขตแดน ถ้ารัฐบาลสามารถให้ข้อมูลได้ตรง ประชาชนคน “ไทย-กัมพูชา” ไม่มีใครอยากจะรบ เพราะเขตแดนเป็นเรื่องของความรู้สึก และเขตแดนที่มีอยู่ไม่มีทรัพยากรอะไรที่ต้องมาแย่งชิงกัน เป็นเรื่องของการปักหมุดกันเท่านั้นเอง

แต่ทุกวันนี้ที่รัฐบาลทำ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งก็ทำถูกในเรื่องของการไม่ใช้ความรุนแรง เน้นไปทางด้านการเจรจา แต่รัฐบาลต้องได้บทเรียนแล้วว่าเราต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความสำคัญของเขตแดนและคณะกรรมการเจบีซี ผมเชื่อมั่นว่าถึงที่สุดแล้ว ถ้าเราจะเน้นในเรื่องการสู้รบ เราก็ได้เปรียบ แต่จะเกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยเราเน้นว่าเป็นตัวเชื่อมความขัดแย้งของแต่ละประเทศในภูมิภาค ซึ่งจะทำให้เป็นกลุ่มอาเซียนที่มีอนาคตทางด้านเศรษฐกิจ และการที่จะรวมกันได้ต้องอาศัยการเจรจา ผมคิดว่ารัฐบาลมาถูกแล้ว เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ถูกใจคนในเมืองเท่าไร ส่วนคนที่อยู่ชายแดน และพ่อค้าเขาก็รับได้
@ ส่วนรัฐบาลตอบโต้สถานการณ์ช้าจนทำให้ถูกโจมตีหรือไม่
เรื่องนี้ไม่อยากนับว่าเราเป็นพี่ใหญ่ แต่เอาเป็นว่าเรามีสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้นถ้าเราทำมาก ในการเมืองระหว่างประเทศก็เหมือนเรารังแกประเทศเล็ก แต่ถ้าอยู่เฉยเราก็ลำบาก ผมคิดว่าการที่นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา อยากให้มีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาปัญหาความขัดแย้ง “ไทย–กัมพูชา” จะเป็นผลดีกับรัฐบาล ซึ่งการตัดสินใจในเรื่องระหว่างประเทศ บางครั้งรัฐบาลตัดสินใจไป มีเสมอตัวกับเสีย
ดังนั้นถ้ารัฐบาลเข้าใจระบบรัฐสภา ก็ต้องให้รัฐสภามานั่งชี้แจง ฝ่ายค้าน วุฒิสภา คิดอย่างไรมานั่งพูดคุยอภิปรายกัน ถ้าห่วงว่า บางเรื่องเมื่อเข้าไปในสภาแล้วเราจะไม่สามารถควบคุมสมาชิกได้ อาจจะเป็นผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราก็อาจจะจัดเป็นการประชุมลับไป และควรมีการทำประชามติในเรื่องสำคัญส่วนที่เป็นเรื่องลับและไม่สามารถแจ้งประชาชนได้ ก็ต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและรอบคอบ ซึ่งเราต้องให้ความไว้วางใจกับคณะผู้ตัดสินใจ อย่างเรื่องนี้เราก็ต้องให้ความไว้ใจกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ เพราะการเมืองมาแล้วก็ไป ดังนั้นถ้าเราไม่ได้ให้ความไว้วางใจกับ 2 หน่วยงานนี้ ผมคิดว่านั่นล่ะคือความเสี่ยงของประเทศ

@ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจะกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ เพราะเริ่มมีการปลุกม็อบออกมาขับไล่รัฐบาล
ต้องยอมรับว่าการเมืองไทยเป็นการเมืองที่มีทั้งในสภาและนอกสภา การเมืองในสภาอาจจะเข้ามายาก แต่คนส่วนหนึ่งอาจจะต้องการมีส่วนร่วมทางด้านการเมือง เมื่อเข้ามาร่วมในสภาไม่ได้ก็ใช้การเมืองนอกสภา ความเห็นทางการเมืองไม่มีประเทศไหนในระบอบประชาธิปไตยที่จะเห็นตรงกันหมด เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ของเรา ๆ จะให้ความสำคัญต่อการเมืองนอกสภา หรือการเมืองในสภาเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องม็อบนั้นผมคิดว่าความคิดเห็นแตกต่างกันสามารถมีได้ อย่างไรก็ตามถ้าการเมืองนิ่ง สภาก็ฟังเสียงส่วนน้อย เสียงส่วนน้อยก็เคารพมติของเสียงส่วนใหญ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัยประคับประคองกันไป การเมือง เศรษฐกิจ ก็จะเดินไปได้
@กมธ.ต่างประเทศจะมีข้อเสนอไปยังรัฐบาลอย่างไรบ้าง
เราจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมโดยเชิญตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง จากนั้นจะขอมติและแนวทางจากที่ประชุมเพื่อเสนอไปยังรัฐบาล อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้ อยากให้รัฐบาลมองเรื่องเศรษฐกิจมากกว่า โดยเฉพาะหนี้สินของชาวบ้าน ปัญหาสินค้าจีนที่ทะลักเข้าไทย ต่างๆ แต่สิ่งที่เป็นห่วงก็คือรัฐบาลอาจจะใช้เวลาคิดเรื่องนี้น้อยมาก ตอนนี้ก็ใช้เวลาคิดเรื่องปรับครม. พอไปเดือนหน้าก็คิดอะไร ที่ไม่สามารถวางนโยบายระยะยาวได้ พอเลยไปอีกหน่อยก็เป็นเวลาเลือกตั้ง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้เวลาจะหมดไปกับเรื่องที่ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน.