แม้จะมีการมอง “ตลาดแพลนต์เบส” ว่า…ก็ “เป็นความหวัง” แต่ถึงกระนั้นไทยก็ยังต้อง “แก้โจทย์” หลาย ๆ เรื่อง…เพื่อที่จะผลักดันให้วงการแพลนต์เบสฟู้ดไทย“อัปเกรดยกระดับ”ให้ก้าวสู่ระดับสากลได้ดี

ทั้งนี้ หากจะมองให้เห็นภาพการเติบโตของ “ตลาดแพลนต์เบสฟู้ด”ก็ต้องพิจารณาตัวเลขข้อมูลจาก Euromonitor ที่เคยมีการรายงานไว้ โดยระบุว่า… ช่วงปี 2562–2567 มูลค่าตลาดแพลนต์เบสฟู้ดทั่วโลกมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) สูงถึง 10.5% และปี 2567 ที่ผ่านมาตลาดแพลนต์เบสก็มีมูลค่าตลาดรวมทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ประเทศไทยนั้นทาง สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เคยเผยไว้ว่า…ตลาดแพลนต์เบสฟู้ดของไทยปี 2567 น่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 45,000 ล้านบาท โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้สะท้อนว่า…

ตลาดแพลนต์เบสของไทยของโลก

มีอัตราเติบโตของตลาดที่ใกล้เคียงกัน

โดยที่ไทยไม่ควรจะมองข้ามโอกาส”

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ…ด้วยพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนปัจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก โดยคนยุคใหม่มักจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมที่มีต่อสัตว์มากขึ้น จึงส่งผลให้ มีความต้องการ “แพลนต์เบสฟู้ด” เพิ่มขึ้น เพื่อใช้เป็น “โปรตีนทดแทน-อาหารทางเลือก” ซึ่ง ไทยเองก็คาดหวังว่าจะได้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เช่นกัน

อย่างไรก็ดี การที่ไทยจะได้ประโยชน์มากขึ้นนั้น กับแนวทาง“อัปเกรดเพื่อยกระดับแพลนต์เบสไทย” นอกจากส่งเสริมการลงทุนเพื่อกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการในตลาดนี้เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องการ “อัปเกรดมาตรฐาน”ด้วย เพื่อให้เกิดมาตรฐานระดับสากล สร้างการยอมรับให้กับผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสจากไทยในสายตาผู้บริโภคแพลนต์เบสทั่วโลก โดยเรื่องนี้ก็มีหน่วยงานอุดมศึกษาของไทยที่ได้มีการจัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะไว้ เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศไทยในตลาดแพลนต์เบส ด้วยการรับทำหน้าที่เป็น “หน่วยให้บริการตรวจสอบมาตรฐาน” ให้กับผู้ประกอบการแพลนต์เบสของประเทศไทย เพื่อ…

กระตุ้น” ให้เกิด “เกณฑ์มาตรฐานที่ดี”

เกี่ยวกับบริการตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสไทย ที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูล… เมื่อเร็ว ๆ นี้ภาคีเครือข่าย คือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการส่งเสริมแพลนต์เบสฟู้ดไทย โดยเสนอแนะให้ไทยควรต้องมีทั้งการจัดทำเกณฑ์มาตรฐาน รวมถึงข้อกำหนดที่เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสของไทย เพื่อสร้างการยอมรับระดับสากล เพื่อส่งเสริมให้เกิดมาตรฐานที่ดีต่อวงการผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสไทย และเพื่อรองรับเกณฑ์มาตรฐานแพลนต์เบสไทยที่กำลังจะประกาศใช้ในเร็ววันนี้

สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัย”

ให้คนทั่วโลกยอมรับแพลนต์เบสไทย

รศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่

และเกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.ดร.ชนิพรรณ บุตรยี่ อาจารย์ กลุ่มวิชาการและวิจัยด้านอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการให้ข้อมูลความคืบหน้าในการวางมาตรฐานอาหารแพลนต์เบสไทย ที่สถาบันฯ มีการศึกษาร่วมกับ อย. โดยระบุไว้ว่า… ถ้าไทยสามารถกำหนดกรอบการควบคุมคุณภาพอาหารแพลนต์เบสได้อย่างครอบคลุม พร้อม ๆ ไปกับการสนับสนุนผลักดันอาหารแพลนต์เบสไทยให้มีการพัฒนา ด้วยมาตรฐานที่อ้างอิงได้ เช่น FAO CODEX และ ISO/DIS 8700 รวมถึงมาตรฐานอื่น ๆ โดยนำมาประยุกต์ใช้กับเกณฑ์ของไทย ก็จะช่วยสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจให้กับไทย

ทีมวิจัยมองถึงจุดสำคัญที่ทำให้แพลนต์เบสไทยโดดเด่น คือความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกสรรทรัพยากรการเกษตรซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ของไทยได้ เช่น ขนุนเนื้ออ่อน ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดโลกจากรสสัมผัสที่คล้ายเนื้อสัตว์ หรือเห็ดแครง ที่มีต้นทุนต่ำ มีความกรุบกรอบ ช่วยเสริมรสชาติได้ดี”…นี่เป็นตัวอย่าง “โอกาสของไทยที่สามารถจะเติบโตได้” สำหรับ “บุกตลาดแพลนต์เบสโลก”

ด้วยการสร้างมาตรฐานใช้จุดแข็งที่มี

แต่ทั้งนี้ จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า…มี “อุปสรรคที่ต้องขจัด” ให้หมดเสียก่อน หนึ่งในนั้นคือ “สารต้านโภชนาการ (Antinutrients)” ที่เป็นหนึ่งในสารที่ไปขัดขวางการดูดซึมอาหาร ที่มักพบในผลิตภัณฑ์แพลนต์เบสที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงนำสู่การร่วมกันจัดตั้งหน่วยให้บริการตรวจสอบสารต้านโภชนาการนี้ เพื่อให้บริการกับผู้ประกอบการอย่างครบวงจร โดยเฉพาะก่อนที่ไทยจะประกาศใช้ “เกณฑ์มาตรฐานแพลนต์เบส” เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการกับผู้บริโภคไม่ต้องเสี่ยงลองผิดลองถูก ทั้งยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคแพลนต์เบสว่าจะมีแหล่งโปรตีนทดแทนที่ดี โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของวัตถุดิบที่นำมาใช้

ก็น่าตามดูยกระดับแพลนต์เบสไทย

ให้ผู้บริโภคทั่วโลกเชื่อมั่นสินค้าไทย?

เป็นอีกแรงกระตุ้นเศรษฐกิจไทย?.

ทีมสกู๊ปเดลินิวส์