การเมืองร้อนระอุใกล้ทะลุจุดเดือดกับสภาพการรบกันเองภายในพรรคร่วมรัฐบาล เป้าหมาย คือ มุ่งสู่บัลลังก์อำนาจและหวังครองเก้าอี้ให้นานที่สุด หลังจากกระแสการปรับครม.งวดเข้ามาทุกขณะ และ“นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯรัฐมนตรี เล็งปรับคณะรัฐมนตรีให้เรียบร้อยภายในสิ้นเดือนมิ.ย.พร้อมเลื่อนกำหนดการลงพื้นที่ประชุมครม.สัญจรในวันที่ 23-24 มิ.ย.ออกไปก่อน เพื่อรอการปรับครม.ให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย

จึงมีแรงเขย่าแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการพูดกันแล้วในสัปดาห์หน้าอาจจะได้ความชัดเจนว่าจะปรับครม.กันอย่างไร จึงเห็นภาพการโชว์พลังดูด จับมือรวมกลุ่มเพื่อต่อรองเกมการเมืองกัน ขณะที่บางพรรคก็ตีกันเองแบบแฉกันไปมา

ที่สะพัดในช่วงนี้ เห็นจะเป็น “พรรครวมไทยสร้างชาติ”  เกิดอาการแตกคอกันหนัก ระหว่างขั้ว“เลขาฯขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่อยู่ฝั่งหัวหน้าพรรคมาโดยตลอดกับ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์และรองหัวหน้าพรรครทสช.ที่ถูกมองว่ามีกลุ่มนายทุนหนุนหลัง โค่น “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรคออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค และให้ “นายกฯอิ๊งค์” ปรับเปลี่ยนตัว

ถึงขนาดมีการเข้าชื่อ สส.21 คน ส่งไปยัง “นายกฯอิ๊งค์”  “ขอให้ทบทวนเอาคนมีความรู้ความสามารถมาเป็นรัฐมนตรีในสัดส่วนรทสช.”เล่นเอา “นายกฯอิ๊งค์” ต้องเล่นบทชิ่ง ไล่ให้ไปเคลียร์ในพรรครทสช.เอง

ขณะที่ “ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์” รองโฆษกรัฐบาล สมาชิกรวมไทยสร้างชาติ ออกมา ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้ “พีระพันธุ์” กำลังทำเรื่องกฎหมายพ.ร.บ.พลังงาน 3 ฉบับ และอยู่ในขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์ ตอนนี้จึงมีผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน ได้เห็นแล้วว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำอะไรบ้าง จึงต้องต่อสู้กับกลุ่มทุนพลังงาน และสิ่งต่าง ๆ เยอะน่าจะเป็นรัฐมนตรีคนแรก ๆ ที่กล้างัดกับอะไรที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน ส่วน “เอกนัฏ”ก็กำลังสู้กับจีนเทาในขณะนี้ จึงสามารถเป็นข้อสันนิษฐานได้ว่าอาจจะเป็นการตัดแข้ง ตัดขา หรือมีความพยายามที่จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่าน รวมถึงการล้มพรรครทสช. หรือต้องการเอา “พีระพันธุ์”ออกจากตำแหน่งด้วยหรือไม่

จึงมองได้ว่าเรื่องนี้เป็นเกมที่นายทุนต้องการปิดเกมเร็วป้องกันการถูกทุบหม้อข้าว โดยมีข่าวสะพัด เตรียม “พรรคโอกาสใหม่” เป็นบ้านใหม่รองรับสส.กลุ่ม “เสี่ยเฮ้ง” ไว้แล้ว วางตัว “ปลัดตุ๋ม”นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม( ทส.) นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค

 แม้“ปลัดตุ๋ม”นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม( ทส.) จะออกมาปฏิเสธ แต่การเมืองต้องดูกันยาว ๆ 

โดยบรรยากาศการเมืองตอนนี้ สัมผัสได้ว่า แต่ละขุมค่ายเดินเกมรวบรวมสส.เอาไว้ในมือให้ได้มากที่สุดทั้งพรรคกล้าธรรม พรรคภูมิใจไทย เพื่อตั้งป้อมต่อรอง และวางแผนตียาวไปถึงเลือกตั้งครั้งหน้า

ที่จี๊ดจ๊าดสุด เห็นทีจะไม่พ้นพรรคภูมิใจไทย

ล่าสุดได้ปรากฏภาพครูใหญ่เนวินร่วมรับประทานอาหารกับ “สันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  และ “นายกฯด๊อยซ์”  อัครเดช ทองใจสด หรือ นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 11 มิ.ย.68 ประกาศให้รู้ว่าเสียงจากเมืองมะขามหวานของพรรคพลังประชารัฐมาอยู่ด้วย เท่ากับว่ามีมือเข้ามาเติมให้พรรครวมแล้ว 77 คน เป็นสส.เดิมของพรรคภูมิใจไทยเอง 69 คน สส.เพชรบูรณ์ 6 คน และสส.อีสานจากพรรคไทยสร้างไทยอีก 2 คน ทำให้เห็นถึงอำนาจการต่อรองเก้าอี้ในการร่วมรัฐบาล

จึงมีเกมทุบกันในพรรคร่วมรัฐบาล เปิดศึกกันเองอย่างหนักหน่วง ระหว่าง “นายใหญ่ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย กับ “ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ” ผู้นำจิตวิญาณของพรรคภูมิใจไทย ผ่านสงครามตัวแทน “ศึกแดง-น้ำเงิน” ห้ำหั่นกันถึงพริกถึงขิงเล่นกันเต็มเหนียว ไม่มีใครยอมใคร

โดยเฉพาะคดีฮั้วเลือกสว.ที่ร้องกันนัวเนียและลามไปถึงแกนนำคนสำคัญทั้งหน้าบ้าน หลังบ้าน เผื่อต่อรองสกัดแผนสว.สีน้ำเงิน ส่งคนเข้าไปสู่องค์กรอิสระ ซึ่งมีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายคนการเมือง พร้อมกันนี้ก็มีการโยนหินถามทาง ประกาศขอทวงเก้าอี้มหาดไทยคืน ถ้าไม่ให้พรรคภูมิใจไทยก็มีโอกาสโดนถีบออกจากรัฐบาล

จึงถือเป็นเกมเขย่าเก้าอี้ “พรรคภูมิใจไทย” จนกลายเป็น ประเด็นร้อนของพรรคร่วมระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่ง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กลัวที่ไหนประกาศไม่คืนเก้าอี้มท.1 ถ้าต้องคืนก็พร้อมไปเป็นฝ่ายค้าน พูดคุยกับ“นายกฯอิ๊งค์”ระหว่างลงพื้นที่ชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ยืนยันถ้าปรับครม.ไม่มีการดึงมหาดไทยมาตอนนี้ยังอยู่เหมือนเดิม ซึ่งอยู่ที่ “ลูกอิ๊งค์”จะไปคุยกับ“พ่อทักษิณ”ได้อย่างไร เพราะการปรับครม.น่าจะจบภายในเดือนมิ.ย.นี้

งานนี้ ชะตาชีวิตของ “พ่อทักษิณ”นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้าเดินเข้าสู่โซนอันตรายร้อนๆหนาวๆ หลังที่ประชุมแพทยสภามีมติท่วมท้นกว่า 2 ใน 3 โดยมี 60 คน ยืนยันมติเดิมลงโทษแพทย์ 3 คนที่เข้ารักษาอาการของนักโทษเทวดาชั้น 14โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งจะเป็นข้อเท็จจริงที่ส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถนำไปประกอบการพิจารณาได้ ซึ่งในวันที่ 13 มิ.ย.ศาลได้นัดพร้อมเรียกผู้เกี่ยวข้องมาไต่สวน กรณีการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ ชินวัตร

งานนี้ “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า ทักษิณ” กลับไม่ไปศาลเอง โดยมอบอำนาจให้ทนายเข้าชี้แทน หลังศาลไต่สวน “มานพ ชมชื่น” ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ แล้วได้มีคำสั่งเรียกพยานอีกจำนวน 20 ปาก โดยจะเป็นพยานกลุ่มแพทย์ พยาบาลของสถานพยาบาลราชทัณฑ์ พัสดีเวรประจำวันในช่วง 16.30 น. ถึง 08.30 น. ที่ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยแทนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ โดยจะเริ่มไต่สวนพยานวันที่ 4, 8 และ 15 ก.ค. 2568 เวลา 09.00 น

ต้องจับตาดูว่าผลจะออกมาอย่างไรและถือเป็นวาระร้อนของตระกูลชินวัตร และรัฐบาล

ยังไม่รวมวาระร้อนชายแดนไทยกัมพูชาที่เกิดข้อพิพาทกันในเรื่องเขตเขตแดน ซึ่งต้องจับตาการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) วันที่ 14 มิ.ย. ที่รัฐบาลไทยประกาศยึดแนวทางสันติวิธีใช้กลไก“ทวิภาคี”เพื่อหาทางแก้ไขปัญหา 

ดังนั้นเรื่องนี้รัฐบาลอย่าทำให้สังคมต้องเกิดข้อกังขา ต้องแสดงความจริงใจและต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ถ้าประชาชนข้องใจและไม่เข้าใจการดึงศรัทธาก็จะเป็นความยากลำบาก

ดูจากอาการ “นายกฯอิ๊งค์” สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิด ที่ผิดทางไปหมด แม้กระทั่งการลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ไปประชุมตรวจเยี่ยม พร้อมมีการพูดคุยกินข้าวร่วมโต๊ะกับทหาร แต่ไม่เข้าใจในเวทีการเมืองระดับชายแดนหลุดโป๊ะถึงเรื่องการ “ปิด-เปิดด่าน” ซึ่งเป็นยุทธวิธีทางการเมืองที่ทั้ง 2 ประเทศชิงความได้เปรียบและหยั่งเชิงกันอยู่

 ยังไม่รวมที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ต้องออกแถลงการณ์ปกป้องการทำหน้าที่สื่อ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องปรับตัวเข้าหากันในจุดที่พอเหมาะพอสมอย่าให้เปรียบเสมือนน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะเป็นการทำหน้าที่ก็เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เพื่อทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้

ขณะที่เศรษฐกิจประเทศเหล่าบรรดากูรู ออกมาบอกตรงกันว่า วิกฤตเศรษฐกิจประเทศกำลังจะตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นไม่มาก่อน พร้อมขอให้คนไทยรอรับแรงกระแทก

ทั้งหมดต้องจับตาว่ารัฐบาล จะเดินหน้าแก้ปัญหากับภาวะเสี่ยงๆ แบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องรีบแก้ก่อนที่เจอประชาชนหมดความอดทนรุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาล