โดยชีวิตของ “สาวเฟิร์น” คนนี้กำลังเป็นไวรัลบนโลกโซเชียล ด้วยบุคลิกที่ดูขัดแย้งระหว่างหน้าตาที่สวยเฉี่ยวกับภาพขณะประคบประหงมดูแลควายตัวใหญ่ยักษ์ จนหลายคนถามไถ่กันให้แซดว่า…เธอคือใคร? ซึ่ง ณ ที่นี้วันนี้เราก็จะพาไปทำความรู้จักกับเธอและเรื่องราวชีวิตของเธอคนนี้ให้มากขึ้น…

“เอาจากใจเลยนะคะ…ตอนที่ต้องเข้าไปในคอกควายครั้งแรก ยอมรับเลยว่า…เหม็นขี้ควายมาก!!” สาวสวยเจ้าของวิถีชีวิตที่เรานำเสนอในวันนี้เผยความลับนี้กับเรา โดย “เฟิร์น-อรกัญญา” สาวเจ้าของ “ควายยักษ์” ที่กำลังเป็นที่สนใจของชาวโซเชียล บอกเราต่อไปว่า ตอนที่เข้าคอกควายแรก ๆ ตอนนั้นเธอรับไม่ได้กับกลิ่นขี้ควายจริง ๆ แต่พอได้คลุกคลีกับควายมากขึ้น เธอกลับ “หลงรัก” ในเสน่ห์ของสัตว์ชนิดนี้ จนตอนนี้ สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อควายที่รัก ของเธอ

สาวเลี้ยงควายสวยเฉี่ยว” คนนี้ปัจจุบันเธอเป็น เจ้าของ “พร้อมเพรียงชัยฟาร์ม” ฟาร์มเลี้ยงควายงาม ซึ่งตั้งอยู่ที่ .เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายก โดยเธอเป็น “เจ้าของควายเผือกใหญ่ยักษ์” ที่ชื่อ “น้องออมสิน” ซึ่งมีดีกรีเป็นถึง “แชมป์ควายงาม” โดย เฟิร์น เล่าประวัติตัวเธอว่า เกิดและโตที่ จ.นนทบุรี แต่จริง ๆ แล้ว คุณพ่ออุดม ของเธอเป็นคนพื้นเพ จ.นครนายก ส่วน คุณแม่ชื่น เป็นคน จ.สกลนคร ซึ่งพ่อแม่ได้เข้าทำมาหากินที่ จ.นนทบุรี ทำให้เธอและพี่ ๆ อีก 2 คน จึงใช้ชีวิตที่ จ.นนทบุรี มาโดยตลอด โดยเธออยู่ที่นี่ได้ 12 ปี ก็ย้ายเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยปทุมธานี จ.ปทุมธานี จนถึงชั้น ม.5 เธอก็ย้ายไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ และอยู่ยาวจนกระทั่งเรียนจบปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ ที่ University of Greenwich

ส่วนฟาร์มเลี้ยงควายของคุณพ่อที่เธอเข้ารับช่วงต่อนั้น เจ้าตัวเล่าว่า คุณพ่อเริ่มเลี้ยงควายในช่วงที่เธอไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ได้ประมาณ 2-3 ปี ซึ่งอาชีพก่อนหน้าที่จะมาทำฟาร์มควายนั้น คุณพ่อทำงานเป็นช่างซ่อมรถ และเป็นคนขับรถแม็คโคร ตามไซด์งานก่อสร้าง จากนั้นคุณพ่อก็ขยับเป็นผู้รับเหมา ก่อนจะเข้าสู่วงการเลี้ยงควายในตอนหลัง อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่คุณพ่อหันมาเลี้ยงควาย เฟิร์นบอกว่าไม่เคยคิดเข้าไปยุ่งเลย ถ้าจำไม่ผิดเธอเคยได้เข้ามาที่คอกควายของคุณพ่อแค่เพียง 2 ครั้งเท่านั้น เพราะคุณพ่อไม่ให้เธอยุ่ง เนื่องจากคุณพ่ออยากให้เธอเน้นโฟกัสที่เรื่องเรียนมากกว่า ทำให้ในหัวของเธอไม่เคยมีเรื่องควายอยู่เลย และอีกอย่างที่ไม่ได้สนใจจะยุ่งกับงานของคุณพ่อ เพราะไม่คิดว่าจะมารับช่วงฟาร์มเลี้ยงควายต่อด้วย

เอาจริง ๆ ตอนนั้นเฟิร์นมีความฝันและวางแผนชีวิตตัวเองไว้แล้วว่า หลังเรียนจบปริญญาโทจะไปสมัครงานเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ เพราะตอนนั้นมองว่าเป็นสายการบินที่ดีที่สุด และที่สำคัญสวัสดิการกับเงินเดือนก็ดีด้วย แต่สุดท้ายชีวิตเราก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากหลังเรียนจบก็มาเจอกับโควิด-19 พอดี และด้วยความที่คุณพ่อเป็นห่วงจึงไปตามให้เรากลับมาอยู่บ้านที่ไทย ซึ่งหลังกลับมาเมืองไทย เราก็ได้งานเป็นพนักงานฝ่ายจัดซื้อที่บริษัทแห่งหนึ่ง รวมทั้งทำธุรกิจส่วนตัวควบคู่ไปด้วย ซึ่งการใช้ชีวิตตอนนั้นก็เป็นไลฟ์สไตล์แบบสาวรุ่นใหม่ทั่วไป ชอบใช้ชีวิตแบบคนเมือง ทำงานหาเงินเที่ยวต่างประเทศ หรือนำไปช็อปปิ้ง เน้นแต่งตัวสวย ๆ หาคาเฟ่นั่งชิล ๆ”เธอเล่าถึงชีวิตก่อนหน้านี้ ก่อนจะเข้ามาสานต่อฟาร์มเลี้ยงควายของครอบครัว

ประคบประหงมน้องควายสุดที่รัก

เฟิร์นเล่าอีกว่า ใช้ชีวิตตามประสาคนเมืองอยู่เกือบ 3 ปี จนถึงจุดพลิกผัน คุณพ่อเสียชีวิตแบบกะทันหัน ทำให้เธอต้องเข้าดูแลควายของครอบครัวต่อจากพ่อ อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าจริง ๆ ตอนหลังก็เคยแอบคิดเช่นกันว่าในอนาคตเธอก็อาจจะต้องกลับบ้านมาช่วยคุณพ่อดูแลน้องควายเหล่านี้ แต่ตั้งใจไว้ว่าจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะเธอไม่มีประสบการณ์ โดยคิดเอาไว้ว่าจะจ้างคนมาช่วยเลี้ยงไปก่อน จากนั้นก็จะค่อย ๆ เรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ แต่ก็กลับมาคิดถึงประโยคที่คุณพ่อคุณแม่ชอบบอก คือ “อย่าพยายามพึ่งคนอื่น อย่าไปยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ แต่พยายามลงมือทำด้วยตัวเองจะดีที่สุด” ซึ่งประโยคนี้ได้แว่บขึ้นมาตอนช่วงรอยต่อชีวิตหลังจากที่คุณพ่อเสียชีวิต เธอก็จึงตัดสินใจเข้ามาดูแลแบบเต็มตัว

จริง ๆ ตอนแรกคุณแม่ก็ไม่ได้อยากให้เราเข้ามาดูแล เพราะมองว่าเราเป็นคนที่ใช้ชีวิตคนเมืองมาตลอด และไม่มีประสบการณ์เลี้ยงควายเลย ท่านกลัวจะมาดูแลควายไม่ได้ กลัวเราจะทำไม่ไหว แต่เราก็ยืนยันหนักแน่นว่าเราอยากลองดู เราเชื่อว่าเราทำได้”เฟิร์นบอกเรื่องนี้ พร้อมเล่าว่า ช่วงแรก ๆ ที่ต้องเข้าดูแลควาย บริหารฟาร์มต่อจากคุณพ่อ เธอต้องปรับตัวเยอะมาก เรียกว่ามีปัญหาให้ต้องแก้ทุกวัน อีกทั้งคนงานเก่า ๆ ของคุณพ่อก็ยังไม่เชื่อมั่นเธอในช่วงแรก เพราะภาพที่คนอื่นมองมาที่เธอมีแค่การเป็นลูกของคุณพ่อ ทำให้ช่วงเริ่มต้นนั้นเวลาเธอบอกหรือสั่งอะไรคนงานในฟาร์มก็จะไม่ค่อยฟังเธอ ซึ่งเธอเองก็รู้จุดอ่อนตรงนี้ จึงพยายามอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเอง โดยเธอไปเรียนรู้ หาความรู้เพิ่มเติมทั้งทฤษฎีและภาคปฏิบัติว่าควรจะต้องทำยังไง เพื่อจะทำให้ฟาร์มควายของคุณพ่อมีการบริหารจัดการที่ดี ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ในลุคและไลฟ์สไตล์แบบสาวเมือง

ตอนนั้นจำได้ว่าเราต้องงัดกับลูกน้องเก่าของคุณพ่ออยู่เรื่อยเลยล่ะค่ะ (หัวเราะ) เพราะเขาไม่เชื่อเรา ไม่ฟังเราเวลาเราอยากจะปรับเปลี่ยนแนวทางใหม่ ๆ ในการเลี้ยงน้องควาย และก็อาจเพราะเขามองเราว่ายังเด็ก ทำให้เฟิร์นต้องกัดฟันอดทนเพื่อพิสูจน์ตัวเองมาเรื่อย ๆ เพื่อทำให้เขายอมรับเรา” เฟิร์นเล่าย้อนสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นให้ฟัง

พร้อมทั้งบอกอีกว่า เมื่อต้องการจะพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นได้เห็น เธอก็ “เปลี่ยนจากลุคสาวเมืองมาเป็นสาวเลี้ยงควายเต็มตัว” โดยเธอจะเข้าทำงานในคอกเองเกือบทั้งหมด ตั้งแต่อาบน้ำควาย ตักขี้ควาย ทำความสะอาดคอก โดยเธอจะเข้ามาที่คอกควายตั้งแต่เช้า ราว ๆ 06.30 น. เรียกว่ามาทำงานก่อนที่ลูกน้องจะมาเสียอีก ซึ่งพอคนงานเห็นว่าเธอเอาจริง เธอทุ่มเทจริง ๆ ก็ค่อย ๆ เปิดใจยอมรับ และค่อย ๆ เชื่อมั่นในตัวเธอขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ เมื่อ “ทีมวิถีชีวิต” ถามเธอว่า หลังสลัดภาพสาวเมืองมาเป็นสาวเลี้ยงควาย “ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะหรือไม่?” พอเธอได้ยินคำถามนี้ก็ยิ้มตอบ พร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะบอกว่า…

ชีวิตตอนนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยล่ะค่ะ (หัวเราะ) ทุกวันนี้ต้องรีบตื่นนอน อาบน้ำแล้วรีบออกมาเข้าคอก เพราะถ้าสายไปอากาศจะร้อน ทำให้พาควายไปปล่อยไม่ได้ หลังปล่อยควายออกจากคอกเสร็จ เราก็ต้องรีบมาทำความสะอาดคอกด้วยการตักขี้ควาย หรือไม่ก็ไปอาบน้ำควาย จากนั้นก็ไล่ควายเข้าคอก และให้อาหารควาย ก็ทำแบบนี้เป็นรูทีนประจำวันเลย ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกับสมัยที่ยังทำงานนั่งออฟฟิศ ตอนนั้นเราจะได้แต่งตัวแต่งหน้าสวย ๆ แล้วก็ออกไปทำงาน ได้นั่งในห้องแอร์เย็น ๆ แต่ทุกวันนี้พอเวลาผ่านไป เมื่อย้อนกลับไปมอง เราก็พบข้อดีของอาชีพเกษตรกรนะ เพราะเรารู้สึกว่างานนี้เครียดน้อยกว่า มีแรงกดดันน้อยกว่าตอนที่ทำงานนั่งโต๊ะ แถมยังมีเวลาได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้นอีกด้วย”เธอบอกเราเรื่องนี้พร้อมกับรอยยิ้ม

กับ “น้องออมสิน” ควายสุดที่รัก

เราถามเธออีกว่า “แล้วเคยมีแอบแว่บคิดถึงชีวิตแบบเดิมสมัยเป็นสาวเมืองมั้ย?” เฟิร์นยิ้ม ก่อนจะตอบว่า ช่วงแรก ๆ ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับควาย อยู่กับทุ่งนา ก็มีโหวง ๆ บ้าง แต่ก็คิดว่าที่ชีวิตพลิกผันมาเป็นแบบนี้อาจเป็นโชคชะตาของเราที่ถูกขีดไว้แบบนี้ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะมีบ้างที่แอบคิดถึงสังคมการใช้ชีวิตแบบเดิมในตอนนั้น โดยทุกวันนี้ที่เธอชอบ “แต่งตัวเซ็กซี่ไปทำงานคอกควาย” นั่นก็เพราะยังคิดถึงไลฟ์สไตล์เดิม ๆ และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนชอบแต่งตัวแต่งหน้า

บางวันเรารู้คิวแล้วว่า เสร็จงานจากคอกเราจะมีเวลาว่างพอที่จะเข้าไปเที่ยวในเมือง ไปเดินห้าง ไปคาเฟ่ เราก็จะแต่งตัวแต่งหน้าสวยมาทำงานในคอกควายเลย พอเสร็จงานแล้วจะได้ไม่เสียเวลาไปเที่ยว” เธอบอกเล่าเบื้องหลังของภาพจำที่คนฮือฮาจนเป็นกระแสในโซเชียล กับภาพเธอใน “ลุคสวยเฉี่ยว” ที่กำลังทำงาน “อยู่ในคอกควาย”

เฟิร์น-อรกัญญา” เจ้าของ “พร้อมเพรียงชัยฟาร์ม” ฟาร์มเลี้ยงควายงามชื่อดัง จ.นครนายก เจ้าของฉายา “สาวเซ็กซี่เลี้ยงควาย” ทิ้งท้ายกับ “ทีมวิถีชีวิต” เกี่ยวกับ “เป้าหมายชีวิตในอนาคต” ว่า ตอนนี้วางแผนไว้ว่า จะทำฟาร์มให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และแหล่งเรียนรู้เชิงธรรมชาติ เพราะ จ.นครนายก อยู่ใกล้กรุงเทพฯ และฟาร์มเธอก็มีทิวทัศน์สวยงาม จึงคิดว่าน่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับฟาร์มได้ โดยคาดว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นไม่เกินกลางปี 2569… “ตอนนี้ที่โฟกัสมาก ๆ ก็คือการยกระดับและพัฒนาฟาร์มให้ดียิ่งขึ้น และล่าสุดเร็ว ๆ นี้ น้องควายของเราก็ไปคว้าถ้วยรางวัล มีเหรียญรางวัลติดไม้ติดมือ โดยไปคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากน้องควายชื่อ “ดาวพระศุกร์” ซึ่งเป็นน้องควายที่เราดูแลเองทุกขั้นตอน แถมมีเวลาเตรียมตัวก่อนประกวดแค่เดือนเดียว พอได้รางวัลก็เลยภูมิใจมาก ๆ…ภูมิใจ…แม้เริ่มต้นมาจากศูนย์ก็ตาม”.

รางวัลแรกจากการประกวดควายงาม

เลี้ยงควาย ‘สบายกว่าที่คิด!!’

เฟิร์นอรกัญญา จารย์ลี” เธอยังบอกด้วยว่า หลายคนมองว่า “เลี้ยงควาย” เป็นงานที่ลำบากและเหนื่อยมาก แถมสกปรกและมีกลิ่นเหม็น แต่ตัวเธอพอได้สัมผัสก็พบว่า “สบายกว่าที่คิด”เมื่อเทียบกับหลาย ๆ งาน และที่สำคัญมีความเครียดและความกดดันน้อยกว่างานอื่นด้วย แถมทำให้ชีวิตเธอมีเวลาเหลือไปทำอะไรอีกเยอะเลย โดย “กิจวัตรประจำวัน” ของ “คนเลี้ยงควาย” จะเริ่มต้นช่วงเช้า ปล่อยควายออกจากคอก จากนั้นก็ทำความสะอาดคอกควาย พอสายหน่อยก็นำควายกลับมาให้อาหาร และพาควายไปอาบน้ำ ไม่ถึงเที่ยงก็พาควายเข้าคอก จากนั้นก็จะได้พักยาวไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งเปรียบเทียบกับงานที่เคยทำมาอย่างงานออฟฟิศ ถึงจะทำงานในห้องแอร์ที่เย็นสบายก็จริง แต่การต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน สายตาก็ล้า สมองก็ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายก็ป่วยด้วยโรคออฟฟิศซินโดรม ดังนั้นส่วนตัวจึงคิดว่างานนี้สบายกว่างานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ

และสำหรับ “คนรุ่นใหม่ที่สนใจเลี้ยงควาย” เธอก็ได้ให้คำแนะนำว่า อาชีพเกษตรกรไม่ได้ตีกรอบว่าผู้หญิงทำไม่ได้ แม้งานบางอย่างที่คิดว่าหนักก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงจะทำสู้ผู้ชายไม่ได้ เพราะ “ทุกสิ่งอยู่ที่ใจ” ดังนั้น สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ… “คนเราสามารถทำอาชีพทุกอย่างได้ อยู่ที่ความตั้งใจจริง อย่างเราเองตอนแรก ๆ ก็ถูกมองว่ามาเลี้ยงควายแค่ทำคอนเทนต์หรือเปล่า ที่ผ่านมามีคนที่มองแบบนี้กับเราเยอะมาก (เสียงสูง) ซึ่งเราไม่เก็บเอามาคิด แต่เอาคำสบประมาทมาใช้เป็นแรงผลักชีวิตของเราให้ไปสู่ความสำเร็จมากกว่า”.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน