โควิด-19 ยังคงสร้างความวิตกกังวลให้ผู้คนทั่วโลก แม้ปัจจุบันจะมีวัคซีนออกมาจำนวนมาก แต่ก็มีโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ โผล่มาเรื่อยๆ ทำให้ทุกประเทศทั่วโลก ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ อย่างล่าสุดสายพันธุ์ ​B.1.1.529 หรือ โอมิครอน (Omicron) ที่ถูกรายงานว่าพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้  ปัจจุบันพบว่ามีการระบาดแล้วมากกว่า 114 ประเทศทั่วโลก

ขณะที่ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ข้อมูล ณ วันที่ 12 มกราคม 2565 เวลา 01.47 น. โดย Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก รายงานจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 314,090,366 ราย ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก สะสมอยู่ที่ 5,521,031 ราย หายป่วยสะสม 261,659,479 ราย

10 อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด  อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา 63,390,876 ราย, อันดับ 2 อินเดีย 36,060,902 ราย , อันดับ 3 บราซิล 22,630,142 ราย, อันดับ 4 สหราชอาณาจักร 14,732,594 ราย, อันดับ 5 ฝรั่งเศส 12,573,263 ราย , อันดับ 6 รัสเซีย 10,684,204 ราย, อันดับ 7 ตุรกี 10,117,954 ราย, อันดับ 8 อิตาลี 7,774,863 ราย, อันดับ 9 เยอรมนี 7,631,453 ราย, อันดับ 10 สเปน 7,592,242 ราย  ส่วนประเทศไทย อยู่ลำดับที่ 25 พบผู้ติดเชื้อแล้ว 2,292,290 ราย เสียชีวิต 21,872 ราย รักษาหาย 2,204,135 ราย (ที่มา : https://www.worldometers.info/coronavirus/ )

ที่สำคัญวิกฤติโควิด-19 ที่เกิดขึ้นถูกลากโยงไปเป็นการเมือง ทั้งการเมืองในประเทศไทย และและการเมืองระหว่างประเทศ

อย่างการเมืองในไทย ถ้าว่ากันจริงๆ ก็มาจากรัฐบาลบริหารจัดการวัคซีนยังไม่ดีพอ ตั้งแต่เรื่องวัคซีนเต็มแขน วัคซีนทางเลือกที่ประชาชนต้องเสียเงินจองกันเองซื้อกันเอง อันนี้บอกตามตรง รัฐบาลสมควรถูกด่า แต่ตอนนี้ยอมรับว่ารัฐบาลบริหารจัดการได้ดีขึ้น

ส่วนการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา กับ จีน ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นสงครามสาดโคลนใส่กันมาตั้งแต่การระบาดรอบแรกแล้ว และยังไม่มีวี่แววว่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ

ถ้าพูดกันตามตรง  ต้องยอมรับว่าในยุคของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ประเทศจีนได้กลายเป็นมหาอำนาจและมีบทบาทมากยิ่งขึ้นกว่ายุคใดๆ ด้วยนโยบายที่เปิดกว้างมากขึ้น การเติบโตในทุกมิติ และขยายความเป็นมหามิตรกับหลายประเทศทั่วโลก นั่นอาจเป็นจุดบ่มเพาะความไม่สบายใจของสหรัฐ ให้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว 

วิกฤติโควิด-19 ถูกลากโยงไปเป็นประเด็นการเมือง สืบเนื่องมาจากความพยายามสืบหาต้นตอของไวรัสโควิด-19 เพื่อให้โลกได้รับรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ ซึ่งถ้าปราศจากวาระซ่อนเร้นแอบแฝง ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ถูกต้อง และควรทำ แต่ต้องทำกันอย่างเป็นขั้นตอน โปร่งใส เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์

แต่จีนรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นไปตามนั้น และมองว่ากำลังถูกใส่ร้ายป้ายสีจากสหรัฐ ให้กลายเป็นผู้ร้ายในสังคมโลก หลังจากสำนักงานข่าวกรองสหรัฐ ประกาศสาระสำคัญรายงานการสอบกลับหาต้นตอไวรัสโควิด-19 โดยออกความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างว่า ไวรัสโควิด-19 มีต้นตอมาจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ หรือรั่วไหลจากห้องแล็บ และกล่าวหาจีนว่าขัดขวางการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องระหว่างประเทศ

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผลการสืบสวนจากคณะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก ก็ออกมาแล้ว ว่ามีโอกาสน้อยมากที่ต้นตอการแพร่ระบาดจะหลุดมาจากห้องแล็บ ในอู่ฮั่น แต่มีความเป็นไปได้ว่า ที่มาน่าจะมาจากการติดต่อจากสัตว์สู่มนุษย์

ก็ไม่แปลกที่ฝ่ายจีนจะตอบโต้กลับรุนแรง พร้อมตำหนิสหรัฐว่าตั้งธงจะล่อเป้าจีนไว้ก่อนแล้ว และถ้อยคำในรายงานก็เต็มไปด้วยความเท็จ ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ไม่น่าเชื่อถือ เป็นเรื่องการเมือง ใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือน แต่พอจะสอบกลับหาต้นตอจากสมมุติฐานที่ว่าเชื้อร้ายมาจากประเทศตัวเองบ้าง สหรัฐกลับปิดประตูลงกลอนเสียสนิท 

จริงๆ ก็ไม่ได้เข้าข้างจีน แต่เข้าใจหัวอกมากกว่า ว่าทำไมจีนถึงรู้สึกแบบนั้น เพราะไม่ว่าประเทศไหนก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน ที่สำคัญเห็นด้วยกับจีนว่า การสอบกลับหาต้นตอของโควิด-19  ต้องใช้วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ข่าวกรอง ถึงจะยอมรับได้ และทุกประเทศทั่วโลกก็จะยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง หรือระแวงแคลงใจ

จริงๆ ตอนนี้ทุกประเทศควรพักเรื่องการเมือง แล้วหันมาจับมือต่อสู้กับวิกฤติโควิด-19 กันอย่างจริงจังจริงใจต่อกัน

ในการประชุมเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ระหว่าง สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 แสดงให้เห็นว่า ผู้นำมหาอำนาจทั้งสองประเทศพยายามร่วมกันต่อสู้กับโควิด-19  อย่างจริงจัง และแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความร่วมมือประชาคมระหว่างประเทศ

ก่อนหน้านั้น คำประกาศของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ให้คำมั่นสัญญาว่า จีนจะทำให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะสำหรับประเทศทั่วโลก และจะยังคงร่วมมือกับองค์การอนามัยโลกและประเทศต่างๆ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาด รวมทั้งจะช่วยเหลือกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถเอาชนะโควิด-19 ให้ได้

ถ้าเราไม่อคติจนเกินไป จะเห็นว่าจีนทำตามสัญญามาตลอด และที่ผ่านมา จีนก็มีบทบาทสำคัญและเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตวัคซีนและบริจาควัคซีนช่วยเหลือประเทศอื่นๆ จำนวนมหาศาล โดยเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมทั้งส่งมอบวัคซีนซิโนแวคและเวชภัณฑ์ต่อสู้โควิด-19 ที่รัฐบาลจีนบริจาคให้รัฐบาลไทยเพิ่มเติมอีกลอตหนึ่ง

นอกจากนี้ จีนยังบริจาควัคซีนโควิด-19 ซิโนฟาร์ม ให้ประเทศโซมาเลีย จำนวน 500,000 โด๊ส เพื่อช่วยในการต่อสู้กับโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ Omicron ที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วแอฟริกา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังให้คำมั่นว่าจะบริจาควัคซีนจำนวน 1 พันล้านโด๊สให้กับแอฟริกา

“เราต้องเห็นแก่ชีวิตของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด” คือสิ่งที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยึดมั่น ซึ่งก็คงเช่นเดียวกันกับผู้นำประเทศทั่วโลก และไม่ใช่เฉพาะกับพลเมืองของประเทศตัวเองเท่านั้น แต่หมายถึง “ชีวิตมวลมนุษยชาติ” ที่ไม่แบ่งแยกชนชั้น ศาสนา และการปกครอง เพราะวันนี้ทุกชีวิตตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน คือกำลังต่อสู้กับมหันตภัยโควิด-19 เพื่อความอยู่รอด และต้องเอาชนะมันไปพร้อมๆ กัน

ต้องหยุดเอาวิกฤติโควิด-19 มาเป็นเกมการเมืองได้แล้ว

————————

คนเถรตรง