เริ่มต้นปีขาล (เสือ) 2565 ค่ำคืนวันเสาร์ที่ 1 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา ถือว่า ทีมฟุตบอลชาติไทย ได้สร้างรอยยิ้มแห่งความสุขเปรียบเสมือนเป็นการ มอบของขวัญปีใหม่ ให้แก่พ่อแม่พี่น้องชาวไทย หลังจากสามารถคว้าแชมป์รายการ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน 2020  หรือ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ มาครองได้สำเร็จ ท่ามกลาง กองเชียร์ทัพช้างศึก นำ ธงชาติไทยผืนใหญ่ ขึ้นไปโบกสะบัดประกาศศักดาอยู่บนอัฒจันทร์ ที่ สนามฟุตบอลเนชั่นแนล สเตเดี้ยม ประเทศสิงคโปร์

เหตุผล เชิงผา ขออนุญาตหยิบยกเรื่องราวควันหลง ของนักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่หรือช้างศึก มานำเสนอ เพราะเห็นว่าเกือบตลอดทั้งปี ไทยต้องผจญวิกฤติกันหลากหลายเรื่องราว โดยเฉพาะ วิกฤติโควิด-19 ที่สร้างความปั่นป่วน จนส่งผลกระทบร้าย ๆ มาอย่างต่อเนื่อง แทบจะหาเรื่องราวสิ่งดี ๆ มาชโลมจิตใจได้ยากยิ่ง

ไม่เว้นแม้เกมการแข่งขัน ศึกฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ก็ได้รับผลกระทบจากโควิดเช่นเดียวกัน ปกติจะจัดขึ้นในทุก 2 ปี ต้องเลื่อนมาแข่งขันช่วงเดือน ธ.ค. 64 ที่ประเทศสิงคโปร์ ระยะเวลาแข่งขันกว่า 1 เดือนเต็ม มา ชิงชนะเลิศ วันที่ 1 ม.ค. 65 พอดิบพอดี แม้จะเป็นเกมฟุตบอลที่แข่งอยู่ในระดับประเทศอาเซียนเท่านั้น แต่เป็น ศึกแห่งศักดิ์ศรี ในละแวกอาเซียนเพราะกีฬาฟุตบอลถือเป็นกีฬายอดนิยมสูงสุดทั้งในประเทศไทยและอีกหลาย ๆ ประเทศในอาเซียนเช่นกัน

ทีมที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการนี้ก็เปรียบเสมือนเป็นเจ้าแห่งอาเซียน ก่อนหน้านี้ แชมป์เก่า เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 คือ เวียดนาม อันดับ 98 ของโลก (ฟีฟ่า แรงกิ้ง) ถือเป็นอันดับ 1 ในย่านอาเซียน มี โค้ชปาร์ค ฮัง ซอ ชาวเกาหลีใต้ เข้ามาคุมทีมตั้งแต่ปลายปี 2560 ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาไม่เคยแพ้ทีมจากอาเซียน ยาวนานถึง 35 เกมติดต่อกัน (ชนะถึง 28 นัด และ เสมอ 7 นัด) ส่วน ทีมนักเตะช้างศึก อยู่อันดับ 115 เป็นอันดับ 2 อาเซียน

ก่อนเกมการแข่งขันครั้งนี้ สื่อกีฬาจากทั่วอาเซียน จึงต่างยกให้เวียดนามเป็นตัวเต็งที่จะได้แชมป์อีกครั้ง ส่วน ม้ามืด ยกให้ทีมนักเตะพลังหนุ่มจาก อินโดนีเซีย มี โค้ช ชิน แต ยัง ดีกรีอดีตโค้ชทีมชาติเกาหลีใต้ ชุดฟุตบอลโลก 2018 ทำให้ทัพช้างศึก ถูกมองข้ามกลายเป็น ม้านอกสายตา นักเตะเพิ่งรวมตัวก่อนแข่ง 5 วัน (30 พ.ย.64) เป็นนักเตะไทยลีก 25 คน อีก 5 เป็นนักเตะที่แข่งอยู่ในญี่ปุ่น อังกฤษ และเดนมาร์ก บินตามมาสมทบ โดยมี โค้ชมาโน โพลกิง ชาวบราซิลเชื้อสายเยอรมัน ถูกคัดเลือกเข้ามารับหน้าที่เฮดโค้ชใหญ่ เคยคุมทีมสโมสรฟุตบอลไทยลีก มากว่า 9 ปี แต่ก็ยังไม่เคยประสบผลสำเร็จ

แม้ทีมฟุตบอลชาติไทยจะถูกมองข้าม แต่ก็สร้างความฮือฮาก่อนแข่ง ’มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ“ ผู้จัดการทีมชาติไทย ปลุกขวัญด้วยการประกาศ อัดฉีด 20 ล้านบาท หากคว้าแชมป์มาเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทยได้สำเร็จ เรียกว่าเงินอัดฉีดมากกว่าเงินรางวัลแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 10 ล้านบาท หากเป็นแชมป์จะได้รับรวม 30 ล้านบาท

ทีมช้างศึก อยู่กลุ่ม A ประเดิมนัดแรก 5 ธ.ค. คว้าชัย ชนะทีมติมอร์ เลสเต 2-0 หลังจากนั้น  เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ อุ้ม-
ธีราทร บุญมาทัน 
ดาวเตะจากเจลีก ประเทศญี่ปุ่น มาสมทบเพิ่มจนฟูลทีม เริ่มประกาศศักดา สยบ ทีมเมียนมา 4-0, เฉือนชนะ ทีมฟิลิปปินส์ 2-1, นัดสุดท้ายรอบแรก ชนะทีมเจ้าภาพสิงคโปร์ 2-0 ชนะ 4 นัดรวดจึงอยู่ อันดับ 1 ของกลุ่ม A ทำให้ ทีมแชมป์เก่าเวียดนาม อยู่ อันดับ 2 ของกลุ่ม B ต้องโคจรมาเจอกันตั้งแต่รอบรองชนะเลิศ (แข่ง 2 นัด) เจ-ชนาธิป ที่สวมปลอกแขนกัปตันทีม ระเบิดฟอร์มยิง 2 ประตู ชนะ 2-0 หยุดสถิติเวียดนามที่ไม่เคยแพ้ทีมในอาเซียนลงได้ ถัดมานัดสอง 26 ธ.ค. ย้ำแค้น 0-0 เขี่ยแชมป์เก่าตกรอบ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ทีมพลังหนุ่ม อินโดนีเซีย ทำให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย อัดฉีดมอบเช็คเงินสดให้อีก 10 ล้านบาท

จากม้านอกสายตา โค้ชมาโน สามารถเฟ้นศักยภาพนักเตะทั้ง 29 คน กลายเป็นทีมบอลบุกดุดันไร้พ่ายหักปากกาเซียน ชิงชนะเลิศนัดแรก 29 ธ.ค. ถล่มนักเตะอิเหนา 4-0 ถัดมาวันปีใหม่ 1 ม.ค.65 ชิงชนะเลิศนัดสอง เสมอ 2-2 ทำให้ผลประตูรวม ไทย ชนะ 6-2 นำความสุขมาให้เป็นของขวัญปีใหม่แฟนบอลชาวไทยได้สำเร็จ นอกจากคว้าเงินรางวัลชนะเลิศ 10 ล้านบาทแล้ว ยังได้เงินอัดฉีดเพิ่มเติมรวมแล้วเกือบ 50 ล้านบาท

ผลงานยอดเยี่ยมชนิดทุบสถิติ ชนะ 6 เสมอ 2 ยิง 18 ประตู เสีย 3 ประตู คว้าแชมป์สมัยที่ 6 มากสุดในอาเซียน เจ-ชนาธิป และ มุ้ย-ธีรศิลป์ แดงดา คว้ารางวัลดาวซัลโว ยิงไปคนละ 4 ประตู มุ้ย-ธีรศิลป์ กลายเป็นดาวซัลโวตลอดกาลยิงไปมากถึง 19 ประตู นอกจากนี้ เจ-ชนาธิป กัปตันทีมช้างศึก คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า หรือ MVP ไปครองเป็นสมัยที่ 3 

คงต้องขอบคุณทั้งนักฟุตบอลทีมชาติไทย, โค้ชพร้อมทีมงาน, ผู้จัดการทีม และผู้สนับสนุน ที่ได้นำความสุขมามอบให้กับชาวไทย ได้มีเรื่องราวดี ๆ รับต้นปีเสือ 2565!!.

—————-
เชิงผา


ขอบคุณรูปภาพ : เพจช้างศึก