เผลอแป๊บเดียว นางเอกสาวหน้าคม ดีกรีนางงามเจ้าของมงกุฎมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2558 อย่าง แนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ ก็โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาถึง 5 ปีแล้ว สัปดาห์นี้ คอลัมน์  “ดาวต่างมุม” มีโอกาสพูดคุยกับสาวแนทแบบเอ็กคลูซีฟ เจ้าตัวเลยเปิดใจแบบหมดเปลือกว่าเคยเสียน้ำตาจนเกือบถอดใจจากวงการ พร้อมอัพเดทผลงานล่าสุดอย่าง “โนราสะออน” ทางช่องวัน 31 ที่โคจรมาประกบคู่กับพระเอกเลือดอีสาน ตูมตาม-ยุทธนา เปื้องกลาง อีกครั้ง ซึ่งตอนนี้กำลังเข้มข้นสุด ๆ

ชีวิตจริงเป็นสาวเหนือ แต่ในละครต้องรับบทเป็นลูกอีสานผสมใต้?

“เราไม่ใช่ทั้งคนอีสานและคนใต้ แต่ก็ท้าทาย ทำให้เราต้องทำการบ้านมากขึ้น และก่อนหน้านี้แนทเคยเล่นละคร “รักสิบล้อ” มาแล้ว เลยมีโอกาสได้ยินสำเนียงภาคอีสาน ทำให้ชินหูมาบ้าง แล้วเราก็ชอบฟังและชอบพูดตามด้วย”

บทนี้ยากง่ายสำหรับแนทยังไงบ้าง?

“จริง ๆ เรื่องนี้เราทำการบ้านตัวละครมาดี เพราะมีบทเรียนจากเรื่องที่แล้ว ก่อนหน้านี้แนทเล่น “รักสิบล้อ” มาก่อน เราเลยมีความไม่เข้าใจในหลาย ๆ อย่าง เรานิ่งเกินไป จนคนดูไม่ออกว่าเราต้องการสื่ออะไร บทเรียนจากเรื่องที่แล้วก็สอนเราเยอะมาก เลยคิดว่าถ้ามีโอกาสได้เล่นอีกเรื่องหนึ่งเราไม่พลาดแน่นอน แต่สิ่งที่ยากสำหรับเรื่องนี้ คือ ชีวิตจริงแนท ไม่ได้สนิทกับแม่มากเหมือนในละคร เพราะพ่อกับแม่แยกทางกัน แนทเลยอยู่กับคุณตาคุณยายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ไม่ง่ายที่เราต้องแสดงออกว่ารักพ่อแม่มากกว่าตายาย เลยทำการบ้านตรงนี้หนักมาก เพราะตัวละครกับแบ๊กกราวด์ของเราไม่เหมือนกัน เป็นการนับหนึ่งใหม่ แต่ก็ต้องขอบคุณผู้จัดฯ คือ ลุงอี๊ด-รอน บรรจงสร้าง กับ ป้ากล้วย ปรารถนา ที่เขาปล่อยให้เราแสดง ไม่ได้กำหนดว่าจะเล่นแบบนี้นะ”

การร่วมงานกับตูมตามอีกครั้ง?

“เรื่องนี้ดีค่ะ ไหลลื่นมากขึ้น เพราะจากการร่วมงานกันเรื่องที่แล้ว เราก็สนิทสนมกันประมาณนึง เรื่องนี้เลยช่วยกันทำคาแรกเตอร์ตัวละคร ช่วยดูภาพรวมของงาน พยายามทำทุกซีนให้สนุก โดยเฉพาะในฝั่งคอมเมดี้ พี่ตูมตามเขาก็จะมีพี่อี๊ด โปงลาง, พี่เจเน็ต เขียว เขาก็จะตบมุก ส่วนซีนดราม่าฝั่งเราก็ต้องทำให้เต็มที่เหมือนกัน”

จากละครเรื่องแรกจนถึงวันนี้ 5 ปีแล้ว ที่อยู่ในวงการบันเทิง?

“ใช่ค่ะ จริง ๆ ละครเรื่องนี้ยังเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับเราเสมอ แต่เป็นงานที่เรารักมากขึ้น เพราะเรายื่นขาเข้ามาแล้ว ไม่ใช่ขาข้างเดียวด้วย แต่คือขาทั้งสองข้าง เราทิ้งตัวลงในหลุมเรียบร้อยแล้ว (ยิ้ม) ทุ่มทั้งจิตวิญญาณของเราแล้ว เราไปเรียนการแสดงเพิ่ม มีโอกาสได้ทำงานต่าง ๆ มากขึ้น และโชคดีว่าเวลาทำงานก็ได้เจอแต่คนเก่ง ๆ เลยมีแรงฮึดว่า คนอยู่มานานเขายังต้องทำการบ้านเรื่อย ๆ ทำให้เรามีความหวังว่าสิ่งที่เราทำมาถูกทางแล้วนะ เพียงแค่เราต้องพยายามมากขึ้น เพราะตอนที่แนทเล่นละครแรก ๆ โดนวิจารณ์เยอะมากว่า พูดไม่รู้เรื่อง แล้วเราก็ไม่รู้จังหวะกล้อง เล่นละคร 2 เรื่องแรกก็คือร้องไห้ทุกวัน เราหาคำตอบไม่เจอ เหมือนเราว่ายน้ำไปแต่ไม่ถึงฝั่งซักที ทั้ง ๆ ที่เราก็พยายามนะ ทั้งชะลอบ้าง ว่ายเร็วบ้าง แต่พอวันนี้ก็ทำให้เรารู้แล้วค่ะ ว่าทุกอย่างต้องเกิดจากการเรียนรู้ จากประสบการณ์ หลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่เป็นองค์ประกอบ จนเรารู้สึกว่าอยากทำอาชีพนี้นาน ๆ”

ตอนที่ร้องไห้ทุกวันคิดไหมว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับตรงนี้?

“คิดค่ะ เราท้อไปรอบนึงแล้ว ตอนเล่นละครเรื่องแรก เราบอกกับตัวเองเลยว่าเราไม่เหมาะกับอาชีพนี้ ตอนนั้นเราก็พยายามแล้ว พยายามมาก ร้องไห้หนักมาก ก็คิดว่าจะเอายังไงต่อ จนช่องวันติดต่อมาให้เล่นสงครามนักปั้น ก็เลยคิดว่าลองอีกสักตั้ง แต่ก็ยังโดนด่าเรื่อย ๆ นะ หลังจากนั้นเราก็หาที่เรียน โชคดีที่เราเจอครูดีด้วย ก็รู้สึกว่ามันคืองานศิลปะนี่เอง เราไม่ต้องใช้ความคิดเลย เมื่อไหร่ที่ความคิดเรามา จะทำให้เราเครียดแล้วไปต่อไม่ได้ แต่ถ้าเราทำการบ้านมามากพอ เสาแรกเราแข็งแรง ก็จะไปต่อค่ะ กว่าจะจับทางได้ก็นานเหมือนกัน แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีปัญหานะคะ แนทมีปัญหาทุกวัน (ยิ้ม) แต่ก็คิดว่าเป็นการเรียนรู้ วันไหนร้องไห้ก็คิดว่า เรายังมีลมหายใจอยู่ เราร้องไห้เพราะเราเป็นมนุษย์ วันไหนดีใจก็คิดว่าวันนี้เราดีใจนะ พรุ่งนี้เราก็ต้องมีเสียใจเป็นปกติ เราก็มองให้ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ”

เวลาเจอเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จัดการกับความรู้สึกตรงนี้ยังไง?

“จริง ๆ เจอตลอดเลยค่ะ อยู่เฉย ๆ ก็ถูกเมนชั่นตลอดเลย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม บางทีการกระทำหลาย ๆ อย่างไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราด้วยนะ แต่เกิดจากที่คนอื่นทำแล้วมาตกกระทบกับตัวเรา ก่อนหน้านี้แนทจะเครียด อยากตอบคำถามนะ ว่าฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณเข้าใจผิด จนมาช่วงหนึ่ง แนทก็คุยกับพี่ตูมตาม แล้วก็คุยกับพี่ท็อป-จรณ ซึ่งเป็นสายนั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม เลยสบายใจขึ้น เพราะบางทีคนฟังก็เลือกว่าเขาอยากฟังอะไร ถ้าเราพูดอย่างอื่นไป ก็จะบอกว่าโกหก มันไม่ใช่ แนทเลยตัดสินใจว่าเราไม่พูดดีกว่า เพราะสุดท้ายเสียงก็ไม่ได้ดังพอในใจเขา ให้มันดังในใจเราก็พอ ก็เลยปล่อยวาง แล้วก็มีความสุขกับชีวิตทุกวัน เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็เจ็บอยู่คนเดียว เพราะคนที่เขาด่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่แผลในใจเรามันลึกมาก ๆ”

ทุกวันนี้ความสุขของแนทคืออะไร?

“จริง ๆ ตื่นมาแล้วแนทหาความสุขได้หลายอย่าง ได้เห็นหน้าน้องหมา ได้กินของอร่อย ๆ บางทีคนบอกว่าแนทไปทำงานแล้วพลังเยอะ แต่เราทำงานแล้วได้เงิน แล้วเงินนั้นไปต่อยอดได้ตั้งหลายอย่าง ไปผ่อนบ้าน ดูแลค่าหมอของตากับยาย หลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ข้างหลังเรา ความสุขของแนทอย่างหนึ่งคืออยากให้คุณตาสบาย ไม่ลำบาก วันนี้เราก็ทำสุดความสามารถแล้ว อาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่เป็นช่วงเวลาที่เราทำได้ แกก็จะไลน์มาหาทุกเช้าเลยว่า ยายตื่นมาไม่ทันส่งหนูเลย เพราะบางทีเราต้องออกจากบ้านตี 4-5 แต่ในขณะเดียวกันยายก็จะซักผ้า รีดผ้าหอม ๆ ให้เราใส่ เวลาขับรถไปทำงานเราก็จะคิดตลอดว่าเสื้อผ้าเนี่ยยายซักให้นะ อะไรที่เขาทำให้เราตอนเด็ก ๆ สมัยที่อยู่ลำปาง ทุกวันนี้เขาก็ยังทำให้ มีความสุขมาก ๆ ค่ะ แล้วแนทจะเรียกคุณตากับคุณยายว่า “แม่” กับ “ป้อ” เป็นภาษาเหนือ”

มีอะไรที่เป็นห่วงคุณตาคุณยายมั้ย เพราะท่านก็แก่ตัวลงทุกวัน?

“แนทเป็นห่วงตัวเอง คิดว่าเราต้องทำตัวเองให้แข็งแรง เข้มแข็ง และมีความสุขในทุก ๆ วัน เพื่อที่อยู่ดูแลเขา เพราะถ้าเราเป็นอะไรไป ตากับยายจะอยู่ยังไง เพราะฉะนั้นแนทขอเป็นคนสุดท้าย อย่างเมื่อก่อนเราได้แต่ทำงานอย่างเดียว ไม่ดูแลตัวเอง แต่ก็มาคิดได้ว่าถ้าเราแข็งแรง คนข้างหลังเขาก็็จะแข็งแรงด้วย ก็ปรับเปลี่ยนมายด์เซตใหม่หมด โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 อย่างผู้จัดการส่วนตัวแนทที่ดูแข็งแรงมาก จู่ ๆ เขาก็จากเราไป แบบที่เราตั้งตัวไม่ทัน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรแน่นอนเลย”

แอบถามเรื่องความรัก ตอนนี้แฮปปี้ดีไหม?

“ความรักของแนทจะเป็นกราฟตรง ๆ จริง ๆ เราไม่ได้ปิดบังเรื่องแฟน หรือความรักเลยนะคะ แต่เวลาเราทำงาน เราไม่ค่อยได้สนใจเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นถ้าความรักของเราถ้ามันจะดี ก็อยากให้มันดีต่อไป คือจริง ๆ ที่ไม่อยากให้สัมภาษณ์ เพราะว่าวันนี้เรารักกัน แต่พอออกไปแล้วเราทะเลาะกัน เลิกกัน แล้วที่ให้สัมภาษณ์ไปมันคืออะไร ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นกับเรา ช่วงแรก ๆ ที่เป็นแฟนกัน พอเจอถามว่าเป็นแฟนกับคนนี้ใช่ไหม เราก็ตอบว่า อ๋อ…ใช่ค่ะ คบกันดีค่ะ แต่พอให้สัมภาษณ์เสร็จ เราทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย จนคิดเลยว่าถ้าเป็นแบบนี้ก็เลิกเถอะ วันนี้เลยรู้สึกว่าถ้ายังไม่มั่นใจก็ไม่อยากพูด ถ้าวันไหนเรามั่นใจว่าคนนี้แหละ โอเคเราอยากแต่งงานด้วยก็จะบอกค่ะ แล้วก็จะมีคนถามเยอะว่าทำไมไม่ค่อยลงรูป แต่แนทว่าความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความรักของแนทไม่ใช่การลงรูปภาพ แต่คือการคุยแล้วเข้าใจ ไว้ใจ ถ้าเราคบใครสักคนแล้ว ต้องไม่มาเครียดเรื่องจุกจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ”

มุมมองความรักของแนททุกวันนี้เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน?

“ตอนเด็ก ๆ แนทชอบคนสไตล์เอเชีย หน้าเกาหลี ญี่ปุ่น (หัวเราะ) แต่พอเราโตขึ้นมา เรามีโอกาสเจอคนหน้าตาดีเยอะ ที่เรามีโอกาสได้ทำงานด้วย เลยรู้ว่าหล่ออย่างเดียวไม่ได้แล้ว แค่คุยกัน ไว้ใจกัน แค่นั้นเลย แนทไม่ชอบคนจุกจิก และเมื่อวันใดวันหนึ่งความไว้ใจตรงนั้นมันขาดลง แนท สามารถมูฟออนต่อได้เลย เพราะเราทำเต็มที่แล้ว ที่พูดได้เพราะว่าเราเคยทำแล้ว แนทเคยจีบคน ๆ หนึ่ง แล้วพยายามสุดพลัง แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้ชอบเรา เราก็โอเค ไม่เป็นไร แล้วผ่านไปไม่นาน เขาโทรฯมาขอโทษ บอกว่าตอนนั้นเขาพูดไม่ได้คิด เขาก็ชอบเราเหมือนกันนะ แนทก็บอกเขาว่าแต่เราไม่ได้ชอบเธอแล้ว เขาก็บอกว่า เฮ้ย เพิ่งผ่านมา 1 อาทิตย์เองนะ แนทก็บอกว่าใช่แต่ตอนนั้นเราทำเต็มที่แล้วไง ตอนนี้เรามูฟออนแล้ว เพราะฉะนั้นเธอก็มูฟออนเถอะ ส่วนตัวเราไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรเลย เรื่องนี้สอนให้แนทรู้ว่าถ้าเราทำเต็มที่แล้วกับทุกเรื่องไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง เราไม่ค้างคาว่าฉันไม่ได้บอกรักเธอนะ ฉันยังไม่ได้ทำแบบนี้นะ”

ฝากถึงแฟน ๆ?

“แนทอยากขอบคุณแฟน ๆ ที่สนับสนุนมาตลอด ตั้งแต่แฟน ๆ นางงาม จนมาเป็นนางแบบและนักแสดง หลังจากนี้น่าจะมีอะไรให้เห็นอีกเยอะ เลยอยากให้ทุกคนรักษาสุขภาพด้วยค่ะ แนทขอเป็นกำลังใจทุกคนในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แล้วเชื่อว่าทุกคนมีเรื่องราวเป็นของตัวเองทั้งนั้น เราตัดสินตัวเองจากเราเองดีกว่า อย่าตัดสินตัวเองจากใครเลย เพราะว่าสุดท้ายเราไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเราค่ะ สู้ ๆ”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / ภมร มานะพรชัย : ภาพ