ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย สามารถผลิตได้ทั้งปี โดยในบ้านเราผลผลิตส่วนใหญ่จะมีจำหน่ายมากในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม และมีจำหน่ายน้อยในช่วงเมษายนของทุกปี ซึ่งชาวสวนฝรั่งโดยมากจะเลี่ยงการผลิตฝรั่งออกในช่วงเดือนเมษายน เพราะเป็นช่วงที่ผลไม้จากภาคตะวันออก ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้บ้านเรา ออกสู่ตลาดหลายชนิดและมีจำนวนมาก ในบ้านเรามีฝรั่งที่ปลูกในเชิงการค้าหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักๆก็จะมีฝรั่งแป้นสีทอง, กิมจู และรองลงมาก็จะมี ขาวอัมพร, ฝรั่งไร้เมล็ด, พันธุ์แป้นไส้แดง, กรอบสามสี, ทับทิมสยาม และในยุคที่ฝรั่งสายพันธุ์ใหม่ๆ จากไต้หวันพันธุ์ใหม่ๆ จากไต้หวันเข้าก็จะมีสายพันธุ์ หงเปาสือ, ซีกวา, เฟิ่นหงส์มี่, เหวินหง, เจินจู, สุ่ยหมี่, กิมจู เป็นต้น

ข้อดีของการปลูกฝรั่งนอกจากจะปลูกง่ายแล้ว ยังให้ผลผลิตได้เร็ว คือหลังปลูกไปแล้วเพียง 6 เดือนขึ้นไป ก็สามารถออกดอกและติดผลแล้ว ทำให้เกษตรกรที่เริ่มทำสวนหรือปลูกใหม่มีรายได้เร็วกว่าไม้ผลชนิดอื่นๆ ที่ต้องรอเวลาอย่างน้อย 2-4 ปีขึ้นไป เป็นพืชที่สามารถบังคับให้ออกดอกติดผลได้หลายวิธี ซึ่งที่นิยมคือการตัดแต่งกิ่งหรือปลายใบของกิ่ง รองลงมาก็จะเป็นการโน้มกิ่งให้แตกยอด เป็นต้น ทำให้เกษตรกรสามารถคาดการณ์กำหนดให้ผลผลิตออกสู่ตลาดตามที่เกษตรกรต้องการได้อย่างแม่นยำ

ฝรั่งสายพันธุ์ใหม่ของ จ.พิจิตร ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ได้คัดเลือกจากการนำเมล็ดฝรั่งจากไต้หวัน คือ ฝรั่งพันธุ์เจินจู ซึ่งเป็นฝรั่งเชิงการค้าของไต้หวัน โดยสวนคุณลีได้นำผลฝรั่งเจินจู มาเพาะและคัดเลือกนานร่วม 2 ปี โดยนำต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดมาปลูกลงแปลงร่วม 100 ต้น จากนั้นเมื่อต้นโตมากพอราวๆ 7-8 เดือน ก็ได้ทำการตัดแต่งกิ่งเพื่อดูผลที่ได้จากการเพาะเมล็ด แล้วพบว่ามีต้นที่ให้ผล เนื้อ รสชาติที่มีลักษณะที่ดีมาก แล้วทำการตัดแต่งกิ่งเพื่อดูผลผลิตความนิ่งของสายพันธุ์อีก 1 ปี ซึ่งได้ฝรั่งสายพันธุ์ใหม่ ที่สวนคุณลี ได้ตั้งชื่อฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร3”

โดยลักษณะเด่นของฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร3” นั้นคือ ทรงผลยาวคล้ายลูกแพร์ทรงผลเด่นชัดตั้งแต่ติดผลอ่อนจนผลแก่ รสชาติหวานกรอบ ทานอร่อยมากเนื้อหนาเมล็ดน้อย เนื้อมีความละเอียด แม้ผลจะแก่ในช่วงหน้าฝนพบว่ายังคงสภาพความหวานได้ดี การออกดอกและติดผลดกมาก น้ำหนักผลเฉลี่ย 250-450 กรัม โดยทางสวนคุณลี จึงตั้งชื่อให้สอดคล้องกับแหล่งกำเนิด คือ จ.พิจิตร เรียกฝรั่งสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร3”

การปลูกฝรั่ง ระยะการปลูกมีหลายระยะตามความเหมาะสมของแต่ละสวน เช่น 2.5×3 เมตร, 3×3 เมตร 4X4 เมตร เป็นต้น มีคำแนะนำเพิ่มเติมว่าการใช้ระยะปลูกที่ห่างพอสมควร มีส่วนช่วยในเรื่องของระบบการถ่ายเทอากาศที่ดี มีส่วนช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้แล้วบางสวนเอาเครื่องจักรหรือรถขนาดเล็กเข้าทำงานก็จะง่าย ยกตัวอย่าง ถ้าระยะปลูกระหว่างแถวและระหว่างต้นประมาณ 3×3 เมตรในเนื้อที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 160 ต้น