น.ส.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ดีป้า ได้ร่วมกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) แถลงผลการศึกษาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ภาคอุตสาหกรรม ปี 64 ใน 9 อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญของประเทศ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ อุตสาหกรรมกระดาษ และการพิมพ์ อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติก

ซึ่งพบว่า การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกระจุกตัวอยู่ในระดับ 1.0-2.0 ในทุกภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อซัพพลายเออร์ที่ยังคงสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์ อีเมล หรือตัวบุคคล กระบวนการผลิตที่ยังใช้เครื่องจักรระบบแมนนวล รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ยังคงเป็น การติดต่อผ่านโทรศัพท์ อีเมล หรือตัวบุคคล

อย่างไรก็ตามในบางขั้นตอนมีแนวโน้มบ่งชี้ถึงการปรับตัวที่ดีขึ้น อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เริ่มนำคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการออกแบบและผลิต หรือซอฟต์แวร์อื่นที่คล้ายคลึงกัน รวมถึงการบริหารจัดการธุรกิจด้วยระบบ สารสนเทศแบบบูรณาการ หรือการใช้ระบบอีอาร์พี แต่กระบวนการดังกล่าวอาจต้องอาศัยระยะเวลาประมาณ 5-10 ปี ก่อนที่ภาคอุตสาหกรรมจะสามารถพัฒนาตัวสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้การขาดแคลนกำลังคนดิจิทัลซึ่งเป็นแรงงานกลุ่มสำคัญในการสร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมไทยก็ยังคงเป็นหนึ่งอุปสรรคในการยกระดับอุตฯที่สะท้อนให้เห็นจากผลสำรวจในครั้งนี้ ซึ่งหลังจากเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

ด้าน น.ส.ศุกร์สิริ แจ่มสุข รองผู้แทนองค์การอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย กล่าว รายงานผลการพัฒนาอุตสาหกรรม ในหัวข้อ “อนาคตอุตสาหกรรมหลังวิกฤติโควิด 19” ว่า การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลก ตั้งแต่การทำงานไปจนถึงการค้าขายและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ส่งผลให้ระดับจีดีพี โลกลดลงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนถึง 3.3% และคาดการณ์ว่ามีคนตกงาน 255 ล้านคน คนอีก 97 ล้านคนต้องกลับไปสู่ความยากจน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมสูญเสียผลผลิต 3.9% ในปี 64 เมื่อเทียบกับประมาณการณ์ก่อนเกิดโรคระบาด.

น.ส. กษิติธร กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดีป้า เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และสร้างรายได้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย รวมถึงการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ (Ecosystem) ผ่านการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และโครงการ Thailand Digital Valley ที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง (Deep Tech) เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเกิดการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) แลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับดิจิทัลสตาร์ทอัพไทย เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล สนองตอบนโยบาย ดิจิทัลไทยแลนด์ ของรัฐบาล

“การขับเคลื่อนประเทศอย่างเป็นรูปธรรมจำเป็นต้องมีข้อมูลฐาน (Baseline) เพื่อต่อยอดสู่การบูรณาการการทำงานจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดีป้า จึงได้จัดทำการสำรวจข้อมูลสถานภาพการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรมไทยในแต่ละกระบวนการต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้จัดทำนโยบายหรือยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด” รองผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ทั้งนี้ นับเป็นปีแรกที่ ดีป้า จัดให้มีการศึกษาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในภาคการเกษตร และการท่องเที่ยว เพิ่มเติมจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีการแถลงผลชุดข้อมูลต่อเนื่องเป็นซีรีส์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของภาคการผลิตและภาคบริการหลักของประเทศ โดยลำดับถัดไปจะจัดให้มีการแถลงผลการศึกษาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลภาคการเกษตรในเดือนกรกฎาคม และภาคการท่องเที่ยวช่วงเดือนสิงหาคมนี้